หนึ่งในนักเตะจอมพเนจรที่เล่นมามากกว่า 10 สโมสร แล้วก็มีค่าตัวในการย้ายทีมรวมกันเกือบแตะหลัก 100 ล้านปอนด์ยังคงได้รับการยอมรับในฝีเท้าและสัญชาตญาณการเป็นศูนย์หน้าที่ยอดเยี่ยม ก็คงจะต้องมีชื่อของ “นิโก้” อยู่ในลำดับต้นๆ แน่นอน
นิโก้ล่าส์ อเนลก้า เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1979 ที่แวร์ซาลเลส, ประเทศฝรั่งเศส นิโก้ เริ่มรู้จักกันดีเมื่อเล่นให้กับปารีส แซงแชงแมงในฝรั่งเศสขณะนั้น โดยอเนลก้าถูกจับตามองเป็นอย่างมากว่าจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงและเป็นนักเตะสุดโด่งดังเป็นอย่างแน่
และด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาได้ไปเตะตา อาร์แซน เวนเกอร์ ยอดกุนซือชาวฝรั่งเศส ที่จับเขาเซ็นสัญญากับอาร์เซน่อล ในเดือนก.พ. 1997 ด้วยวัยเพียง 17 ปี พร้อมกับค่าตัวถึง 500,000 ปอนด์ (ราว 35 ล้านบาท) อันเป็นค่าตัวที่ถือว่าสูงมากสำหรับนักเตะวัยรุ่นในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนของ “ปืนใหญ่” ถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อ อเนลก้า กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ (พรีเมียร์ลีก+เอฟเอ คัพ) มาครองได้ในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งผลงานอันน่าประทับใจของเขาก็ทำให้ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอในซีซั่นถัดมา
ทว่า การเรียกร้องขอขึ้นค่าเหนื่อยมากเกินกว่าที่อาร์เซน่อลจะรับไหว ทำให้ “เดอะ กันเนอร์ส” ต้องยอมขายกองหน้าตัวเก่งของพวกเขาให้กับเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวมหาศาล 23 ล้านปอนด์ (ราว 1,600 ล้านบาท)
ชีวิตในถิ่น ซานดิอาโก้ เบอร์นาเบวของ อเนลก้า กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่แฟนบอลราชันชุดขาวคาดหวัง และแม้ว่าจะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ แต่สุดท้ายก็ถูกโละให้เปแอชเช อดีตต้นสังกัดเก่าด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ราว 1,400 ล้านบาท)
หลังจากที่อยู่ในปารีส มา 18 เดือน อเนลก้า ก็ได้หวนกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในเดือนม.ค. 2002 ด้วยสัญญายืมตัวกับลิเวอร์พูล และเขาก็สามารถช่วยให้ทีมหงส์แดง จบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 2 ของตาราง แต่ เชชาร์ อุลลิเย่ร์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ในเวลานั้นกลับไม่ยอมเสนอสัญญาแบบถาวรให้กับเขาและเลือกเซ็นสัญญากับ เอล ฮัดจิ-ดิยุฟ แทน
นั่นทำให้เป็นแมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่ได้ซื้อ ตัวเขาไปในที่สุด ค่าตัวประมาณ 14 ล้านปอนด์ ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว
โดยเขาเลือกสวมเสื้อหมายเลข 39 อันเป็นเบอร์ที่เขาใช้ในการเล่นให้กับทีมอื่นๆ ต่อมาด้วย ทั้ง เฟร์เนบาห์เช่, โบลตัน, เชลซี และทีมชาติฝรั่งเศส
ในปี 2005 หัวหอกเลือดน้ำหอม ก็ชีพจรลงเท้าอีกครั้งเมื่อย้ายไปเล่นให้ทีมดังของตุรกีอย่าง เฟเนร์บาห์เช่ ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ (ราว 490 ล้านบาท) ก่อนจะช่วยให้ต้นสังกัดใหม่คว้าแชมป์ลีกในปี 2005 ก่อนที่จะอกหักพลาดแชมป์ลีกในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2005-06 ต่อ กาลาตาซาราย
วันที่ 25 ส.ค. 2006 โบลตัน ได้ออกมาประกาศว่า อเนลก้า กลายเป็นศูนย์หน้าคนใหม่ของสโมสร และเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะทำประตูได้อย่างต่อเนื่องให้ “เดอะ ทร็อตเตอร์ส”
แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมทำผลงานดีขึ้นได้ และการจมอยู่ในโซนท้ายตารางก็ทำให้ นิโก้ ตัดสินใจย้ายทีมอีกครั้งทั้งที่จะเพิ่งต่อสัญญาในถิ่นรีบอค สเตเดี้ยม ไปจนถึงปี 2011
จากนั้นในปี 2008 เชลซี ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญากับ อเนลก้า ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2008 และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวรวมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล 87 ล้านปอนด์ (ราว 6,090 ล้านบาท) เริ่มตั้งแต่การย้ายทีมครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุด
อเนลก้า ได้ประเดิมนัดแรกให้กับ “สิงห์บลูส์” ในเกมที่พบกับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในเกมลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ก่อนจะทำประตูแรกให้เชลซีได้ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 4 ซึ่งเชลซี คว้าชัยเหนือ วีแกน 2-1 เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2008
เขาค้าแข้งอยู่กับเชลซี 4 ฤดูกาล จากนั้นย้ายไปโกยเงินหยวนที่จีนกับ เซี่ยงไฮ้ เซิ่นหัว ก่อนจะย้ายกลับมายูเวนตุสช่วงสั้นๆ จากนั้นย้ายกลับมาเล่นอังกฤษอีกครั้งโดนเซ็นสัญญากับ เวสต์บรอมวิชฯ
แต่ในปี 2014 เขาถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษแบน 5 นัดและปรับเงินถึง 80,000 ปอนด์ หลังจากฉลองการยิงประตูได้ด้วยการทำท่า Quenelle อันแสดงถึงการเหยียดเชื้อชาติยิว ในเกมส์ที่เวสต์บรอมวิช เสมอกับเวสต์แฮม 3-3
หลังจากที่ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษลงโทษ เขาก็ถูกเวสต์บรอมวิชยกเลิกสัญญาในเวลาต่อมา ก่อนจะปิดฉากการค้าแข้งกับ มุมไบ ซิตี้ ในอินเดียน ซุปเปอร์ลีก และปัจจุบันรับงานเป็นโค้ชทีมเยาวชนให้กับ ลีลล์ สโมสรในบ้านเกิด
กับทีมชาติฝรั่งเศส อเนลก้ามีส่วนในการพาฝรั่งเศสคว้าแชมป์หลายๆ รายการ และถึงแม้ว่าอเนลก้าจะไม่ค่อยได้รับการยอมรับกับทีมชาติเนื่องจากความแบดบอยของตนเองแล้วนั้น แต่อเนลก้าก็ยังคงความสุดยอดที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น