หงส์แดงกำชัยเหนือมิลานสุดมันส์


ลิเวอร์พูล ประเดิมศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี ด้วยการเปิดรังแอนฟิลด์ เฉือน เอซี มิลาน 3-2 เมื่อวันพุธที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา โดยแมตช์นี้ “หงส์แดง” มีโอกาสยิงประตูมากมาย แต่น่าเสียดายที่ขาดความเฉียบคม



1) บุกเพลินจนเกือบแพ้


ตลอดช่วง 40 นาทีที่ ลิเวอร์พูล เปิดฉากไล่ยำมิลาน แทบไม่มีอะไรตำหนิเลยเพราะพวกเขาเล่นเกมบุกได้ดุดัน ส่วนเกมรับก็แทบไม่ต้องทำงานเนื่องจาก มิลาน มัวแต่เปิดตำราตั้งรับจนแทบโงหัวไม่ขึ้น แต่สิ่งที่น่าตำหนิก็คือความเด็ดขาดในการยิงประตู และการเล่นติดประมาทเกินไป


ช่วง 5 นาทีสุดท้าย มิลาน ขึ้นเกมมาแบบไม่ได้ต้องการลุ้นอะไรมากนัก เหมือนจะผลาญเวลาให้หมดไปเท่านั้น แต่พวกเขากลับได้สองประตู เนื่องจากการเล่นที่หละหลวมของเกมรับเจ้าบ้าน โดยเฉพาะการยืนตำแหน่งที่สับสนมั่วซั่วเหมือนไม่มีสมาธิ


ครึ่งหลังการขาดสมาธิก็เกือบทำให้ทีมต้องตกเป็นรอง 3-1 แต่เดชะบุญจังหวะยิงของ ไซม่อน เคียร์ เป็นลูกล้ำหน้า แต่หลังจากนั้นดูเหมือนเกมของ ลิเวอร์พูล จะเล่นอย่างมีสมาธิไม่บุกเพลินจนทำให้เสียตำแหน่ง และสามารถคุมสถานการณ์เกมรับได้เหนียวแน่น ขณะที่เกมรุกยังคงอันตรายในทุกจังหวะ

 
สิ่งเดียวที่จะตำหนิในแมตช์นี้ก็คือการบุกเพลินจนออกอาการประมาทมากไปหน่อย แถมไม่สามารถจบสกอร์ได้เฉียบคมทำให้คู่แข่งมีโอกาสฟื้นตัว และเกือบนำไปสู่หายนะ !



2) มาติป เอาแนวรับอยู่



ผลงานของ โฌแอล มาติป ในเวลานี้ถือว่าเป็นกองหลังที่สาวก “เดอะ ค็อป” ไว้วางใจได้พอๆ กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โดยเกมนี้เขาทำหน้าที่เป็นผู้นำในแผงแบ็กโฟร์ได้อย่างยอดเยี่ยม และช่วยประคอบ โจ โกเมซ ทำให้สามารถเล่นได้อย่างไม่กดดัน


หากไม่นับช่วง 5 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ตลอดทั้งเกม มาติป สามารถจัดการเกมบุกของ มิลาน ได้หมดเรียบวุธ จังหวะเคลียร์บอลแม่นยำ การสกัดลูกโด่งที่เด็ดขาด และยังมีการโชว์สเต็ปขึ้นไปทำเกมบุกด้วย


และเกือบทำประตูได้น่าเสียดายที่จังหวะโหม่งของเขาไปตรงตัว ไมค์ เมนญอง โดยรวมแล้วผลงานของ มาติป ในแมตช์นี้ยอดเยี่ยมมาก


หากไม่เกิดอาเพศโดนโรคเดี้ยงพรากออกจากสนามแข่ง งานนี้บอกเลยว่า มาติป กับ ฟาน ไดค์ น่าจะเป็นคู่แนวรับที่ คล็อปป์ จะใช้ไปยาวๆ ตลอดทั้งฤดูกาลนี้ ส่วน โกเมซ กับ โกนาเต้ ต้องรอโอกาสของพวกเขาเท่านั้น



3) เจ็ดปีที่รอคอยของ มิลาน


สเตฟาโน่ ปิโอลี่  สามารถนำ เอซี มิลาน กลับมาสู่เวทีใหญ่ที่สุดในเกมฟุตบอลถ้วยยุโรป ซึ่งพวกเขาเคยครองอำนาจมานานในช่วงปลายยุค 80 จนถึงกลางยุค 90 นี่คือสิ่งที่แฟนบอลมิลาน เฝ้ารอมาตลอด


“ปีศาจแดงดำ” มาเยือนถิ่นแอนฟิลด์ด้วยฟอร์มที่อันตรายพอสมควร โดยผลงานในลีกของพวกเขาก็ยอดเยี่ยมเมื่อทีมชนะมา 4 เกมติดต่อกันรวมทุกรายการ อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องมาพบกับเจ้าบ้านที่ฟอร์มกระฉูดไม่แพ้กัน


สิ่งเดียวที่ต้องบอกว่า “รอสโซเนรี่” รอดการเสียประตูเป็นกระบุงก็เพราะ “เดอะ เร้ดส์” ไม่เด็ดขาด ส่วนจังหวะที่พวกเขาได้สองประตูก็ต้องยกเครดิตในการเล่นเกมรุก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องจวกแนวรับ ลิเวอร์พูล ที่ดันสับสนตำแหน่งจนโดนลงทัณฑ์อย่างที่เห็น


การกลับคืนสู่เวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ของ มิลาน ต้องบอกเลยว่าพวกเขายังมีงานสุดหินรออยู่ทั้งการพบกับ แอตเลติโก มาดริด และเอฟซี ปอร์โต้ หากยังอยากจะไปให้ไกลกว่านี้ ปิโอลี่ ต้องรีบกระตุ้นทีมโดยเร็ว



4) หงส์แดงแข็งแกร่งทั่วแผ่น


คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เล่นร่วมกับ นาบี เกอิต้า และ ฟาบินโญ่ ซึ่งถือเป็นแผงกองกลางที่ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง และจัดการไม่ให้มิดฟิลด์ “รอสโซเนรี่” ได้ปั้นเกมตัวเองที่ถนัดได้เลย


ส่วนสองฟูลแบ็กซ้าย-ขวาต้องบอกเลยว่าปอดกับหัวใจเสริมใยเหล็กมาหรือเปล่า เพราะทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ “เจ้าหนูเทรนต์” วิ่งขึ้นวิ่งลงแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งทำให้เกมทางกราบมีความอันตรายและเกือบช่วยให้ทีมได้ประตูหลายครั้งหลายหน


 ในส่วนของ โรเบิร์ตสัน ไม่มีอะไรต้องตำหนิเพราะทำหน้าที่ได้อย่างลงตัว ทั้งวิ่งดันเกมรุกสร้างโอกาสให้ทีมได้เท่ากับ “เฮนโด้” ขณะที่เกมรับก็เล่นได้เนียนตา ส่วน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ยังคงเหมือนเดิม เกมรุกดีเกมรับพลาด โดยสองประตูที่ทีมเสียก็มาจากการคุมไม่ดีทางฝั่งขวา ซึ่งเป็นจุดที่เขาต้องแก้ไขต่อไป



5) ซาลาห์ขึ้นเทียบชั้นตำนานอย่างเจอร์ราร์ด


ซาลาห์ เพิ่งจะจารึกชื่อเป็นนักเตะทำประตูเร็วสุด 100 ลูกในเกมลีกลำดับที่ 5 ส่วนแมตช์นี้เขามีโอกาสบวกสกอร์ให้ทีมตั้งแต่ครึ่งแรกจากจุดโทษ แต่น่าเสียดายที่ยิงไม่ดี โดย  ไมค์ เมนญอง เซฟได้ แต่สุดท้ายสตาร์ลูกหนังชาวอียิปต์ก็มาซัดประตูสำคัญช่วยทีมในช่วงต้นครึ่งหลังได้สำเร็จ


แมตช์นี้ ซาลาห์ สามารถใช้ความเร็วและความคล่องตัวจัดการกับ เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้าย มิลาน จนเล่นไม่ออก ผลงานของเขาช่วยทำให้ ลิเวอร์พูล มีเกมบุกที่หวือหวา รวมทั้งอันตรายทุกครั้งที่บอลอยู่ในเท้า “บังโม”

 
ขณะเดียวกัน ซาลาห์ ก็ยังประสานงานได้ดีเยี่ยมกับ ดิว็อค โอริกี้ ในจังหวะที่ยิงประตูตีเสมอ 2-2 ส่วน ดีโอโก้ โชต้า แม้จะไม่มีชื่อทำประตู แต่การที่คอยเชื่อมเกมระหว่างแดนหน้ากับแดนกลางของเขามีความสำคัญอย่างมาก









เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน














































ความคิดเห็น