“เดอะ กันเนอร์ส” จมบ๊วยของตารางพรีเมียร์ลีก และแพ้ตลอด 3 เกมแรกในลีกโดยทำประตูไม่ได้เลย 3 เกม แพ้ 3 เสีย 9 ประตู ยิงไม่ได้ นี่มันไม่ใช่ อาร์เซน่อล ที่เรารู้จักเลย…
นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 134 ปี ที่พวกเขาต้องพุ่งชนความพ่ายแพ้ 3 เกมแรกในลีกแบบยิงใครไม่ได้สักลูก มันไม่ใช่จุดบอดอะไรนะ แต่นี่มันคือวิกฤตแล้ว
โอเค การออกสตาร์ทซีซั่นนี้ของ ปืนใหญ่ เป็นงานยาก เมื่อพวกเขาต้องไปเยือนน้องใหม่อย่าง เบรนท์ฟอร์ด ตามมาด้วยเกมกับ เชลซี และ แมนฯ ซิตี้
แต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่าจะพลิกล็อกตั้งแต่เกมแรก และเลวร้ายได้ขนาดนี้หลังจากผ่านมา 3 เกม ตอนนี้ ปืนใหญ่ กำลังมุ่งหน้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติด้วยการรั้งบ๊วยในตารางคะแนน
คำว่า “Trust the process” หรือเชื่อมั่นในแนวทาง เราได้ยินมันจาก มิเกล อาร์เตต้า มาอย่างต่อเนื่อง แต่แนวทางนั้นคืออะไรล่ะ
ตอนนี้ ความสับสนวุ่นวายที่เราเห็นในสนามแทบทุกสัปดาห์ทำให้เกิดคำถามที่แทบจะหาคำตอบไม่ได้ และอาร์เตต้า กำลังเข้าใกล้โอกาสสุดท้ายของเขาที่ อาร์เซน่อล แล้ว
ลองคิดดูสิ ถ้าตอนนี้เขาคุม เชลซี อยู่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยังมีงานทำตามปกติ นั่นก็เพราะผลสะสมจากฤดูกาลที่แล้วต่อยอดมาถึงผลงานในช่วงออกสตาร์ทซีซั่นใหม่นี้
ใช่ อาร์เซน่อล เพิ่งจะเล่นไปแค่ 3 เกม และทีมของพวกเขาก็ต้องเจอปัญหาตั้งแต่สัปดาห์แรกทั้งเรื่องของอาการบาดเจ็บ และการระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายในทีม
แต่มันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับสิ่งที่เราเห็นที่เอติฮัด สเตเดี้ยม หรอกนะ ปืนใหญ่ ดูห่วยแตกทุกสัดส่วนไม่ว่าจะหลัง กลาง หน้า
โอเค พวกเขาอาจต้องเล่นถึง 55 นาทีกับนักเตะเพียง 10 คน หลังการโดนไล่ออกของ กรานิต ชาคา แต่การเสียคนๆ เดียวไม่ควรส่งผลให้ทีมต้องยกธงขาวเบอร์นั้น ดูอย่าง เชลซี ที่เจอ ลิเวอร์พูล สิ เหลือ 10 ตัวทั้งครึ่งหลัง แต่กลับได้รับคำชมอย่างมากเมื่อจบเกม
ปืนใหญ่ ได้ครองบอลเพียง 19 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะครึ่งหลังนี่คือ 9 เปอร์เซ็นต์ แทบไม่อยากจะเชื่อด้วยสายตา! และพวกเขาก็ยิงไม่เข้ากรอบเลยสักครั้ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อนฤดูกาล 2003-04 ที่อ็อปต้าเริ่มมีการบันทึกสถิติ
นี่คือการมอบตัวแบบไม่มีหือมีอืออะไรเลย และความรับผิดชอบจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้จัดการทีม
ถึงตรงนี้ อาร์เซน่อล จะต้องเผชิญหน้ากับ 4 เกมสำคัญหลังพ้นช่วงเบรกทีมชาติ
พวกเขาจะเริ่มต้นด้วยเกมพบ นอริช ทีมรองบ๊วยที่มีดีกว่าพวกเขาแค่ 1 ประตูที่ทำได้ จากนั้นก็จะเดินทางไปเยือน เบิร์นลี่ย์ ก่อนจะเปิดบ้านต้อนรับ สปอร์ส ในเกมนอร์ทลอนดอนดาร์บี้ และก็ไปเจอ ไบรท์ตัน ที่เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม
เกมเหล่านั้นไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับความผิดพลาดให้ อาร์เตต้า อีกแล้ว แม้ “เดอะ กันเนอร์ส” จะไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม แต่พวกเขาก็คงจะหมดความอดทนแน่หากเกมพวกนั้นไม่ได้มีผลการแข่งขัน และฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้น
การกลับมาของ โธมัส ปาร์เตย์ เบน ไวท์ และ กาเบรียล มากัลเญส น่าจะทำให้ อาร์เซน่อล ดูแข็งแกร่งขึ้น และจะฟื้นฟูเกมรับที่ดูโกลาหลในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้ไม่มากก็น้อย
อาร์เซน่อล ใช้เงินไปกว่า 130 ล้านปอนด์ ในการเซ็นสัญญาแข้งใหม่ในซัมเมอร์นี้ ซึ่งมากที่สุดในลีกเมืองผู้ดี แต่กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ได้ลงเล่นในเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยม
มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยนมากมายที่ อาร์เซน่อล ไม่เว้นแม้แต่สถานการณ์ชวนขันของ ชาคา ซึ่งดูเหมือนว่าจะออกจากสโมสรในซัมเมอร์นี้ แต่ท้ายที่สุดสโมสรได้ขยายสัญญาใหม่ออกไป อย่างน่าเซอร์ไพรส์อีกด้วย
จากนี้ไป อาร์เซน่อล ไม่เพียงแค่ต้องการชัยชนะเพื่อลดความกดดัน แต่พวกเขาก็ต้องการฟอร์มที่ดีจากทีมด้วย
ทีมของเขามีโอกาสยิงตรงกรอบเพียง 7 ครั้งเท่านั้นจาก 3 เกมแรก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่านักเตะจะหายหน้าไปกี่คนก็ตาม
การยกธงขาวแบบหมดสภาพกับ ซิตี้ จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
หากยังทำมันไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น เวลาของ อาร์เตต้า เองนั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบโดยเร็วแทน
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น