เจาะ 5 ข้อ ผีแดงอกหักชวดแชมป์ยูโรปา ลีก


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องพบกับฤดูกาลแห่งคำว่า “พระรอง” อย่างแท้จริงเมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับ บียาร์เรอัล ในการดวลจุดโทษ 11-10 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 ชวดแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ไปอย่างน่าเสียดาย



1) คาวานี่ ควรอยู่ช่วยแมนยูล่าแชมป์


ชัดเจนแล้วว่า เอดินสัน คาวานี่ เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะได้อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างน้อยอีก 1 ฤดูกาล เพราะผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาแบบนี้ บอกได้เลยว่ามีประโยชน์กับทัพ “ผีแดง” ในซีซั่นหน้าอย่างแน่นอน


ด้วยวัยเข้าหลักสามแต่สภาพร่างกายยังคงแข็งแกร่ง สามารถวิ่งหาพื้นที่ว่างเพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเองได้ดี และยังใช้ประสบการณ์ในการกดดันเกมรับ บียาร์เรอัล ได้ตลอด สำหรับจังหวะที่ยิงประตูตีเสมอ แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณการเป็นหน้าเป้าของ คาวานี่ ด้วยสายตาที่เฉียบคม และความว่องไวในการตามเก็บบอลจังหวะสอง ถือเป็นสิ่งที่ “หน้าเป้า” ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนี้ไม่มีเลย


คาวานี่ เล่นยังกับหนุ่มวัยกระทงอายุ 24 ปีไม่ใช่ 34 ปี ต่างจาก แรชฟอร์ด กับ กรีนวู้ด ที่ฟอร์มอืดมากๆ ที่สำคัญ ยอดแข้งชาวอุรุกวัย ซัดไปแล้ว 5 ประตูจาก 5 เกมในยูโรปา ลีก และรวมเบ็ดเสร็จทุกรายการซัดเบาๆ 16 ประตู


ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมที่ คาวานี่ ขยายสัญญาอยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และเชื่อว่าเขาจะช่วยนำประสบการณ์และความสามารถที่ล้นเหลือในการประคับประคองรุ่นน้องอีกหลายๆ คนให้พัฒนาการเล่นมากยิ่งขึ้น



2) ลูกตั้งเตะยังเป็นจุดอ่อนเหมือนเดิม


เรื่องการรับมือกับลูกเซตพีซของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ถือว่าย่ำแย่มากๆ และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลใจแต่อย่างใดที่ “เร้ด เดวิลส์” ต้องเสียประตูจากการโดนเล่นงานด้วยลูกฟรีคิกของ บียาร์เรอัล


แท็กติกของ อูไน เอเมรี่ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเน้นเกมตั้งรับ และรอหาโอกาสจากลูกตั้งเตะ ซึ่งก็มาประสบผลสำเร็จ เพราะจังหวะที่ ดานี่ ปาเรโฆ่ เปิดบอลโค้งเข้าไปแทบไม่อันตรายเลย แต่เป็นการซ้อมมาอย่างดีเพราะ เคราร์ด โมเรโน่ วิ่งหนีตัวประกบก่อนขึ้นโหม่งระหว่าง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ เอริค ไบยี่ เข้าประตูไปง่ายๆ


นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ที่เป็นการบ้านสำคัญของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และทีมสตาฟฟ์ ในการที่จะต้องแก้ไขปัญหาการรับมือลูกเซตพีซ และหนึ่งในทางแก้ที่น่าจะรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการซื้อเซนเตอร์แบ็กชั้นดีมาร่วมทีม



3) เอเมรี่ เจ้าพ่อยูโรปา ลีก


ต้องยอมรับว่า บียาร์เรอัล ชุดนี้มีขุมกำลัง และคุณภาพทีมสู้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้จริงๆ แต่สิ่งที่พวกเขามีเหนือกว่า “ผีแดง” ก็คือมันสมองของ เอเมรี่ ไม่ใช่ โซลชา ไม่เก่ง เพียงแต่ กุนซือชาวสแปนิช ผ่านประสบการณ์โชกโชนในเกมนัดชิงแบบนี้มาเยอะมาก


จะเห็นได้ว่าแท็กติกของ เอเมรี่ เน้นการประคองเกม และใช้ทีมเวิร์กในการสู้กับ แมนฯ ยูฯ โดยพวกเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นรองเรื่องความสามารถเฉพาะตัวและความเร็ว แต่การตัดผู้เล่นสำคัญอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส  และ ปอล ป็อกบา ไม่ให้ทำเกมได้สะดวก ทำให้เกมบุกของ “เร้ด เดวิลส์” ตื้อตันไปเลย


แน่นอนว่าประสบการณ์ของกุนซือคือหนึ่งในประเด็นสำคัญในแมตช์นี้ การผ่านเข้าไปเล่นเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก 5 ครั้งในรอบ 7 ปี (รวมซีซั่นนี้ด้วย) และคว้าแชมป์ได้ 3 สมัยติดต่อกัน (เซบีย่า ซีซั่น 2013/14, 2014/15, 2015/16) พลาดแค่ครั้งเดียว (อาร์เซน่อล ซีซั่น 2018/2019) เป็นเครื่องยืนยันว่า นี่คือโทรฟี่ของ เอเมรี่ อย่างชัดเจน



4) โซลชา หมดมุกแก้เกมไม่ได้


ใช้เวลากว่า 100 นาที โอเล กุนนาร์ โซลชา ถึงใช้โควต้าสำรองคนแรกของเขา ในขณะที่ เอเมรี่ เปลี่ยนไปแล้ว 5 คนในช่วงเวลาเดียวกัน


หากเรามองในมุมของเขาก็คงจะเข้าใจได้ว่าตัวเลือกที่มีอยู่นั้นค่อนข้างจำกัดและขาดประสบการณ์ เช่นเดียวกับ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ


แต่ถ้ามองอีกมุม…มันก็น่าคิดนะว่าเหตุใดเขาถึงไม่กล้าเสี่ยงเลย ทั้งๆที่ผู้เล่นของตัวเองล้าจนแทบจะวิ่งไม่ไหวกันอยู่แล้ว โดยเผผฉพาะ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เล่นขัดหูขัดตา และทำเสียจังหวะไปหมด



5) โซลชา ยังต้องรอความสำเร็จกับแมนยูต่อไป

 
โซลชา ยังคงต้องรอคอยการนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์รายการแรกในฐานะผู้จัดการทีม ต่อไป เพราะนี่เป็นโอกาสทองของเขาที่จะสร้างชื่อให้กับตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นพระรองอยู่ดี


เพราะการได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก กับรองแชมป์ยูโรปา ลีก มันไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าการเกยทับบลัฟแหลกของแฟนบ่อยเท่านั้น


ฤดูกาลหน้าหาก โซลชา มีการเสริมทัพที่แข็งแกร่ง และได้ตัวผู้เล่นที่เขาต้องการทั้งเซนเตอร์แบ็ก, ปีก และหน้าเป้า ผสมกับการวางแท็กติกที่แยบโยลมากยิ่งขึ้น งานนี้ “น้าลูกอม” อาจจะได้เห็นโทรฟี่สีเงินมันวาววิบวับอยู่ในมือของเขาก็ได้







เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน



























































































ความคิดเห็น