แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสเข้าชิงยูโรปาเป็นหนที่สองของสโมสรสูงมาก แม้ครึ่งแรกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนทว่า “บรูโน่-คาวานี่” ยิงเบิ้ลคู่ ก่อนถล่มยับ “หมาป่ากรุงโรม” โรม่า 6-2 โดยเกมหน้าบุกเยือนวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคมต่อไป ในการแข่งขันศึกฟุตบอลยูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก คืนวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา
1) ปีศาจแดง สู้สุดหัวใจไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด มักจะคุ้นชินกับการเห็นทีมรักกลับมาระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดแม้จะโดนยิงนำในสมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุมบังเหียน และบรรยากาศแบบนี้ค่อยๆ กลับมาอีกครั้งในยุคของ โซลชา
ฟอร์มในครึ่งแรกของเกมนี้ทุกคนคงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นักเตะผีแดง มีอาการประหม่า และเล่นด้วยฟอร์มที่น่าอึดอัดจนส่งผลให้พวกเขายิงประตูขึ้นนำ 2-1 และเริ่มหวั่นใจว่า โซลชา จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความล้มเหลว ด้วยการตกรอบตัดเชือกเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันหรือไม่
แต่กลับเข้าสู่ครึ่งหลัง พวกเขามักจะพลิกสถานการณ์จากที่เป็นรองกลับมาคว้าชัยชนะได้บ่อยๆ ในฤดูกาลนี้และเกมนี้ก็เช่นกัน โซลชา ได้แสดงให้เห็นถึงมันสมองชั้นยอดของเขาในการแก้เกม รวมทั้งการกระตุ้นลูกทีม และความเชื่อมั่นในการเลือกนักเตะลงสนาม
คาวานี่ จัดการเหมาสองประตูเช่นเดียวกับ บรูโน่ ขณะที่ ลุค ชอว์ แม้จะทำผิดพลาดในจังหวะที่ทีมเสียประตูที่สองเพราะไม่เช็คไลน์ล้ำหน้า แต่เขาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมได้ประตูที่สาม ขณะที่แนวรับก็เล่นได้แกร่งชนิดที่เกมรุกของโรม่าทำอะไรไม่ได้เลยในช่วง 45 นาทีหลัง
2) บรูโน่ หัวใจสำคัญของทีม
เพลย์เมกเกอร์ชาวโปรตุกีส ทั้งยิงทั้งแอสซิสต์ ที่สำคัญเขายังมีอิทธิพลกับฟอร์มการเล่นของ “ผีแดง” มากฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมแมตช์นี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงได้ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำในครึ่งหลัง
บรูโน่ โชว์ลีลาได้อย่างสะเด็ดสะเด่าตั้งแต่นาทีแรกจนกระทั่งจบเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยเขาซัดไป 2 ประตูและแอสซิสต์สำคัญให้ เอดินสัน คาวานี่ ซัดประตูตีเสมอ 2-2 ในต้นครึ่งหลัง ซึ่งนั่นคือประตูที่จุดประกายให้ทีมกลับมาพลิกสถานการณ์อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าแม้สกอร์จะนำห่างแบบนี้ แต่ฟันธง โซลชา ยังไงก็จับ บรูโน่ ลงสนามในเกมเลกสองที่กรุงโรม สัปดาห์หน้า และด้วยฟอร์มแบบนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นคงพูดได้เต็มปากว่านี่แหละบรูโน่ตัวจริงเสียงจริง
3) คาวานี่ อยู่ต่อเถอะ
แม้ว่าอนาคตของ เอดินสัน คาวานี่ ยังคงไม่แน่นอน แต่ผลงานเจ้าของฉายา “เอล มาทาดอร์” ยังสุดยอดเหมือนเดิม โดยเฉพาะ 2 ประตูที่เขาทำได้ในเกมนี้
หัวหอกวัย 34 ปี จัดการกดประตูสำคัญในช่วงต้นครึ่งหลังซึ่งเป็นประตูตีเสมอให้ทีม โดยจังหวะนี้เป็นการประสานงานกันแบบมองตารู้ใจระหว่าง ดาวเตะชาวอุรุกวัย กับ บรูโน่ ส่วนอีกประตูก็มาจากความจมูกไวของเขาในการวิ่งเข้าซ้ำจังหวะที่ อันโตนิโอ มิรันเต้ นายทวารโรม่า ปัดลูกยิงของ อารอน วาน-บิสซาก้า ไม่ดีอีกทั้งยังเป็นคนแอสซิสต์ให้กับ “ไม้เขียว” กดประตูตอกฝาโลงด้วย
ต้องยอมรับว่า คาวานี่ ยังคงเป็นนักเตะที่มีประโยชน์กับ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยผลงานตลอดทั้งฤดูกาลนี้ได้แสดงให้เห็นคุณภาพ และประสบการณ์ของเขาแล้ว ฉะนั้น โซลชา กับบอร์ดบริหารต้องพยายามทำงานหนักเพื่อยื้อนักเตะให้อยู่ประครองทีมอย่างน้อยอีก 1 ซีซั่นก็ยังดี
4) สมอลลิ่งช่วยทีมเก่า
ปราการหลังวัย 31 ปี ได้พบกับชีวิตใหม่ที่ อิตาลี โดยฟอร์มของเขาโดดเด่นและแข็งแกร่งมากๆ จนกลายเป็นหนึ่งในคีย์แมนของ “จัลโล่รอสซี่” แถมแฟนบอลยังชื่นชอบผลงานของเขามากๆ ถึงขั้นตั้งฉายาว่า “สมอลล์ดินี่”
อย่างไรก็ตามการกลับมาเยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รั้งรักที่แสนบูชากลายเป็นว่าเจ้าตัวต้องมีคราบน้ำตาหลังจบเกม เพราะเขาทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนักทั้งทำฟาวล์ ป็อกบา จนโดนใบเหลือง, มีส่วนทำฟาวล์ คาวานี่ จนทีมเสียจุดโทษ และยังปล่อยให้ ป็อกบา ได้โหม่งสบายๆ ในประตูที่ 5 ด้วย
การที่ทีมแพ้ยับไม่นับญาติเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดอยู่แล้ว แต่สำหรับ สมอลลิ่ง ผลงานของเขาในแมตช์นี้ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมาก และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าตัวจะรู้สึกผิดหวังอย่างแรงที่มีส่วนทำให้ โรม่า โดนถล่มเละ
5) อเวย์โกลแทบไม่มีผลนัดสอง
หลายคนมองว่าการเป็นทีมเยือน และพยายามที่จะยิงประตูให้ได้ถือว่าพวกเขาสามารถเก็บความได้เปรียบในระดับหนึ่ง แต่สำหรับแมตช์นี้ 2 ประตูที่ โรม่า ทำได้แทบไม่มีผลอะไรเลยกับเกมเลกสองที่สนาม สตาดิโอ โอลิมปิโก ในสัปดาห์หน้า
ผลงานในครึ่งแรกของ “จัลโล่รอสซี่” ต้องบอกว่าโดดเด่นมากๆ และสามารถต่อกรกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้อย่างสูสี แม้ว่าพวกเขาจะโดนยิงประตูขึ้นนำไปก่อนก็ตาม แต่สามารถซัดคืนได้สองลูกรวด นั่นทำให้ในครึ่งหลัง ดูเหมือนทีมเยือนจะเล่นได้ง่ายขึ้น
แต่เกมรุกของทัพ “ผีแดง” เล่นได้อย่างเฉียบคม ในขณะที่เกมรับก็เหนียวแน่นมากขึ้นกว่าเดิม จนกลิกกลับมาแซงนำได้สำเร็จถึง 6-2
ฉะนั้น อเวย์โกลที่ โรม่า ตุนเอาไว้ 2 ลูกไม่มีผลอะไรเมื่อมองจากภาพรวมเรื่องฟอร์มการเล่น และจำนวนสกอร์ที่ขาดลอยแบบนี้ บอกเลยว่าขาข้างหนึ่งของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก้าวไปที่สนามสตาดิโอน เอเนอร์ก้า กดัญสก์ แล้ว !
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น