เจาะ 5 ข้อ แมนฯ ซิตี้ บุกเชือดเปแอสแช โอกาสเข้าชิงมีสูง


เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สร้างผลงานชิ้นเอกในการนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถึงสนามปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันพุธที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาถือความได้เปรียบเป็นกระบุงโกยในเกมเลกสองที่เอติฮัด สเตเดี้ยม


“เปแอสเช” เริ่มต้นได้ดีเมื่อได้ประตูนำไปก่อนจาก มาร์กินญอส ในครึ่งแรก โดยครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ เปิดฉากบุกด้วยความสุขุมเยือกเย็น และมาได้ประตูยืนแบบทบต้นทบดอกจาก  เควิน เดอ บรอยน์ และ ริยาด มาห์เรซ ทำให้พวกเขากลับมาแซงชนะด้วยสกอร์ 2-1



1) “KDB” สุดยอด


เควิน เดอ บรอยน์ เป็นคีย์แมนคนสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาตลอดขาคือหัวใจสำคัญในเกมรุกของทีมอย่างแท้จริง ที่สำคัญนักเตะมักจะงัดทีเด็ดในยามที่ “เรือใบสีฟ้า” ต้องการได้เสมอ


 อย่างเกมนี้ จอมทัพทีมชาติเบลเยียม ทำหน้าที่เป็น “ฟอลส์ไนน์” หรือ “กองหน้าตัวหลอก” และเกมนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าศักยภาพของเขาสามารถปั่นป่วนเกมรับของ “เปแอสเช” ได้ ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จการเปิดบอลที่แม่นยำและได้น้ำหนัก กอปรกับแนวรับของ แซงต์-แชร์กแมง และเกย์ลอร์ นาวาส พลาด ทำให้บอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม

 
ประตูตีเสมอถือว่าสำคัญมาก เพราะทำให้ แมนฯ ซิตี้ ได้อเวย์โกล และยังเป็นการเรียกความมั่นใจกลับมา ซึ่งทำให้พวกเขามีความฮึกเหิมที่จะยิงประตูเพิ่ม ก่อนที่ มาห์เรซ จะโชว์ของซัดฟรีคิกส่งให้ “เรือใบสีฟ้า” บุกมาชนะพร้อมกับมีอเวย์โกลตุนเอาไว้ถึง 2 ลูก


ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ เดอ บรอยน์ จะได้รับเลือกเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้



2) ซิตี้เจ้าพ่อเกมเยือน


สำหรับ แมนฯ ซิตี้ บอกเลยว่าสถิติในการเล่นทีมเยือนของพวกเขานั้นค่อนข้างดีทีเดียว ผลงานแบบนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แมนฯ ซิตี้ มีประสบการณ์เขี้ยวลากดินมากๆ เมื่อต้องออกไปเล่นนอกบ้าน ขนาดเกมนี้พวกเขาเสียเปรียบจากการโดนเจ้าบ้านยิงนำไปก่อน แต่ก็ยังเล่นด้วยความสุขุมเยือกเย็นค่อยๆ ต่อบอลหากช่องจนกระทั่งมาได้ประตูในที่สุด


 ยิ่งไปกว่านั้นผลงานในการเล่นเกมเยือนของ แมนฯ ซิตี้ ยังไม่ธรรมดาเมื่อพวกเขาเสียไปแค่ 9 ประตูจากทั้งหมด 18 แมตช์ในทุกรายการ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเกมรับที่เหนียวแน่นอย่างแท้จริงๆ ส่วนผลงานในบ้านก็ต้องยอมรับว่าทัพ “สำเภาทอง” เขาเจ๋งอยู่แล้วเวลาที่เฝ้ารังเอติฮัด สเตเดี้ยม


 งานนี้บอกเลยว่า “เปแอสเช” ปวดตับแน่นอนในการบุกมาเยือนพวกเขา และต้องยิงอย่างน้อย 2 ประตูเพื่อโอกาสในการผ่านเข้าไปเล่นในนัดชิงชนะเลิศ



3) มาห์เรซ มาท็อปฟอร์มได้ถูกเกม ถูกเวลา



ต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้ ริยาด มาห์เรซ กำลังฟอร์มพีคจริงๆ เพราะเขามีส่วนในการทำประตูสำคัญให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในหลายๆ เกมที่ผ่านมา โดยเฉพาะในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ดาวเตะชาวแอลจีเรีย สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย นำทีมก้าวขึ้นมาถึงรอบตัดเชือก


แมตช์นี้ แมนฯ ซิตี้ ตกเป็นรอง แซงต์-แชร์กแมง ในช่วงครึ่งแรก ขณะที่ครึ่งหลังทีมมาได้ประตูตีเสมอจาก เดอ บรอยน์ โดยเกมหลังจากนั้นค่อนข้างตึงเครียด แต่พวกเขามาได้ฟรีคิก และ มาห์เรซ ขันอาสาทำหน้าที่สำคัญนี้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อเขาจัดการปั่นบอลพุ่งเสียบมุมเข้าประตูไปอย่างงดงาม


ผลงานแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเลือก มาห์เรซ ลงสนามเป็นตัวจริงในแมตช์นี้ ขณะที่นักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง, เซร์คิโอ อเกวโร่ และ กาเบรียล เชซุส ทำได้แค่นั่งตาปริบๆ อยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง



4) คู่หู เนย์มาร์-เอ็มบั๊ปเป้ เล่นไม่ออก


สองคู่หูสุดอันตรายของเปแอสแช ซึ่งได้รับการเชิดชูว่าเป็นหนึ่งในคู่เกมรุกที่แนวรับทุกทีมต้องครั้นคร้าน แต่ไม่ใช่กับกองหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะเกมนี้ทั้งสองคนแทบไม่มีโอกาสได้สร้างความระคายเคืองให้กับเกมรับของทีมเยือนเลย


หัวหอกชาวบราซิเลียน อาจจะใช้ความเร็วในการขู่เกมรับของทีมเยือนได้บ้างในช่วงต้นเกม แต่หลังจากนั้น รูเบน ดิอาส กับ จอห์น สโตนส์ ค่อยๆ จับทางการเล่นของ เนย์มาร์ ได้ และสามารถจัดการไม่ให้เขาได้มีโอกาสโชว์ความพลิ้วได้มากนัก


ขณะที่ เอ็มบัปเป้ ต้องบอกว่าอาการหนักกว่าเพราะนักเตะไม่มีโอกาสได้ใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยสถิติยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า สตาร์ลูกหนังชาวฝรั่งเศส ไม่มีโอกาสได้ยิงประตู แมนฯ ซิตี้ แม้แต่ครั้งเดียวในเกมนี้


 สำหรับแมตช์ที่ต้องไปเยือนถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ในสัปดาห์หน้า ถ้า เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ไม่สามารถดึงความมหัศจรรย์ของทั้งสองคนออกมาได้ บอกได้เลยว่าคงเป็นเรื่องยากที่ แซงต์-แชร์กแมง จะได้เข้าไปเล่นนัดชิงเป็นซีซั่นที่สองติดต่อกัน



5) ก้าวสู่เส้นทาง 3 แชมป์


ตอนนี้บรรดาสาวก “เรือใบสีฟ้า” คงเริ่มวาดฝันการได้เห็นทีมรักทะลุเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร หลังจากที่บุกไปชนะ “เปแอสเช” ทำให้ตอนนี้ขาข้างนึงก้าวไปอยู่ที่สนามอตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี


ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องผิดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะวาดฝันการได้เห็นถ้วย “หูกาง” ไปตั้งตระหง่านอยู่ในตู้โชว์ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ยิ่งไปกว่านั้นฤดูกาลนี้พวกเขาอาจจะสิทธิ์คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ เพราะทีมเพิ่งจะสอยถ้วยคาราบาว คัพ มาครองได้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่พรีเมียร์ลีก ก็จ่อได้แชมป์เต็มทีแล้ว


กระนั้นทั้งหมดทั้งมวลยังไม่ใช่บทสรุปของแมตช์นี้ เพราะยังเหลืออีก 90 นาทีที่ แซงต์-แชร์กแมง จะได้แก้ตัว แต่เนื่องจากผลการแข่งขัน และการเสียอเวย์โกล มันจึงค่อนข้างจะเป็นงานที่ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาหรืองมเข็มในมหาสมุทรซะอีก !








เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน



















































































































































































ความคิดเห็น