หากย้อนกลับไปในยุค 2000 ต้นๆ เชื่อว่าแฟนบอลน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชายที่ชื่อ “ปาโบล ไอมาร์” ที่กำลังโดดเด่นเหลือเกินภายใต้สีเสื้อ บาเลนเซีย ซึ่งเพียงแค่ซีซั่นแรกกับต้นสังกัดแม้ “ค้างคาว” บาเลนเซีย จะจบได้เพียงอันดับ 5 ในศึก ลา ลีกา แต่ทีมกลับทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก แม้จะพลาดแชมป์จากการพ่ายในช่วงดวลจุดโทษต่อ บาเยิร์น มิวนิค แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเถลิงบัลลังก์แชมป์ ลา ลีกา ในรอบ 30 ปี ภายใต้ยุค ราฟาเอล เบนิเตส ในปีถัดมา
ปาโบล ไอมาร์ เกิดวันที่ 3 พฤศจิกายน 1979 ใน Rio Cuarto ประเทศอาร์เจนตินา เริ่มต้นเส้นทางอาชีพกับทีมริเวอร์เพลท สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลีกอาร์เจนติน่า โดยเป็นผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกที่คอยสร้างสรรค์โอกาสทำประตูให้กับคู่กองหน้า
อย่าง มาร์เซโล่ ซาลาส และ ฮวน ปาโบล อังเคล และด้วยสายตาอันเฉียบคมในการอ่านเกม บวกกับการจ่ายบอลอย่างแม่นยำทั้งทิศทางและน้ำหนัก ทำให้ “คิลเลอร์พาส” กลายเป็นอาวุธประจำตัวของไอมาร์ที่ช่วยต้นสังกัดทำประตูได้มากมาย สถิติ 28 แอสซิสต์ จาก 82 นัด เป็นเครื่องการันตีถึงผลงานได้อย่างดี
หลังลงเล่นให้กับริเวอร์เพลท 4 ปี ชื่อเสียงของไอมาร์ก็โด่งดังไปทั่วยุโรปจนมิดฟิลด์อาเจนไตน์กลายเป็นนักเตะเนื้อหอมที่บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ของยุโรปต้องการตัวไปร่วมทีม
แต่แล้วก็เป็นทีมบาเลนเซียที่ได้ตัวไปครองในปี 2001 เจ้าตัวเข้ามาผนึกกำลังร่วมกับแข้งมากคุณภาพอย่าง กาอิซก้า เมนดิเอต้า, วิเซนเต้, ซลัทโก้ ซาโฮวิช และกองหน้าอย่าง อาเดรียน อิลี กับ ยอห์น คาริว ซึ่งการมาของแข้งมากพรสวรรค์รายนี้นั่นเปรียบเสมือนการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในทีมของ เอคเตอร์ คูเปร์ ในทันที
ซึ่งเพียงฤดูแรกไอมาร์ก็พาทีมค้างคาวทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนจะพ่ายให้แก่บาเยิร์น มิวนิค ในการดวลลูกจุดโทษ ฤดูกาลถัดมาบาเลนเซียเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมมาเป็น ราฟา เบนิเตซ แล้วก็สามารถคว้าแชมป์ลาลีกาได้ทันที นับเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งไอมาร์ถือเป็นนักเตะคนสำคัญที่ช่วยให้เจ้าค้างคาวยิงไปถึง 51 ประตู ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 บาเลนเซียก็ประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการเป็นดับเบิ้ลแชมป์จากแชมป์ลาลีกา และแชมป์ยูฟ่าคัพ
ทว่าในช่วงที่ บาเลนเซีย ไขว่คว้าความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ไอมาร์ มักมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังเป็นแข้งขวัญใจของแฟนบอลที่ต่างรอเขากลับมาลงสนาม
จุดหักเหชีวิตของเขานอกจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่คอยรบกวนคือการที่ ปาโบล ไอมาร์ ไม่สามารถรีดเอาประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์เกมออกมาได้อย่างที่เคยนับตั้งแต่ที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ออกไปรับงาน ลิเวอร์พูล
และเมื่อจบฤดูกาล 2005-06 ไอมาร์ตัดสินใจอำลาถ้ำค้างคาวไปอยู่กับเรอัล ซาราโกซ่า และช่วยสร้างโอกาสให้ศูนย์หน้าประจำทีมอย่าง ดิเอโก มิลิโต้ ยิงไปถึง 23 ประตู คว้าตำแหน่งรองดาวซัลโวของศึก ลา ลีกา เป็นรองแค่ รุด ฟาน นิสเตลรอย ของ เรอัล มาดริด แค่ 2 ประตู ราคาบอล
แต่ในฤดูกาลต่อมาว่าผลงานของ เรอัล ซาราโกซ่า แตกต่างจากฤดูกาลก่อนชนิดฟ้ากับเหวจากการล่วงหล่นไปเล่น เซกุนด้า หลังจบด้วยอันดับ 17 และด้วยวิกฤตทางการเงินทำให้เจ้าตัวถูกขายไปอยู่กับ เบนฟิก้า ทีมยักษ์ใหญ่ในโปรตุเกสที่กำลังหาตัวแทน รุย คอสต้า ตำนานยอดเพลย์เกอร์วัยเก๋าที่เพิ่งประกาศเลิกเล่นฟุตบอลในปี 2008 ซึ่งนับว่าเจ้าตัวมีช่วงเวลาที่ดีเลยทีเดียวตลอด 5 ปีกับทีมยักษ์ใหญ่โปรตุเกส
การย้ายไปร่วมทีมเบนฟิก้า ทำให้ไอมาร์ได้ประสานงานร่วมกับ ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า และ อังเคล ดิ มาเรีย จนเป็นที่มาของสามประสามแห่งลิสบอน ช่วยให้ทีมเหยี่ยวคว้าแชมป์ถึง 5 รายการ แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บรุมเร้าทำให้ในฤดูกาล 2012-13 ไอมาร์ลงเล่นไปเพียง 21 เกมเท่านั้น
และลงเอยด้วยการอำลาลีกโปรตุเกสไปด้วยผลงาน 34 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 107 นัด หลังจากนั้นไอมาร์ก็ย้ายไปร่วมลีกมาเลเซียในระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะกลับไปแขวนสตั๊ดกับริเวอร์เพลทในปี 2015
ด้วยความยอดเยี่ยมในฐานะผู้เล่นตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ ทั้งทักษะการเลี้ยงบอล, การจ่ายบอล และการสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะการจ่ายคิลเลอร์พาสทำให้ไอมาร์กลายเป็นนักเตะในฝันของบรรดากองหน้าทุกคน
จึงไม่น่าแปลกใจที่เมสซี่จะมองเขาเป็นนักเตะต้นแบบ นอกจากนั้นไอมาร์ยังได้รับการชื่นชมจากนักเตะระดับตำนานลูกหนังโลกอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่าว่าเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่จะยอมเสียเงินเข้าไปนั่งดูการแข่งขันอีกด้วย
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น