หนึ่งในตำนานนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลก ในยุค 90 โดยเล่นตำแหน่งปีก จอมเทคนิค จอมลากเลื้อย เป็นถึงเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมยุโรปในปี 2000 ผู้ที่ผ่านการลงเล่นให้กับโคตรทีมที่เป็นคู่อริกันอย่าง บาร์เซโลน่า และ รีล มาดริด นั่นคือ หลุยส์ ฟิโก้ อดีตจอมทัพหมายเลขหนึ่งทีมชาติโปรตุเกส
หลุยส์ ฟิโก้ เกิดวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1972 ที่เมืองอัลมาดา ประเทศโปรตุเกส เขาเริ่มเล่นในฐานะนักฟุตบอลข้างถนน และมาเป็นเด็กฝึกหัดกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน สโมสรในประเทศบ้านเกิด ด้วยวัยเพียง 11 ปี ตั้งแต่ปี 1984 ในฐานะเยาวชน ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ในปี 1990 จากนั้นเขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวหลักให้กับทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุไม่เกิน 16 ปี และถูกเรียกตัวติดทีมชาติเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1991
โดยก่อนหน้านั้นเขาและผองเพื่อนอย่าง รุย คอสต้า, เจา ปินโต และ เปาโล ซูซ่า นำโปรตุเกส ชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี ผงาดคว้าแชมป์โลกเยาวชน ในปีเดียวกันกับที่เขาติดธงชุดใหญ่
ปี 1995 ฟิโก้ ได้รับความสนใจจากบรรดาทีมชั้นนำของยุโรป ซึ่งเขาดันไปเซ็นสัญญาซ้ำซ้อนกับ ยูเวนตุส และ ปาร์ม่า พร้อมๆกัน ทำให้ถูกลงโทษด้วยการห้ามไม่ให้ย้ายไปเล่นในลีกอิตาลีเป็นเวลาสองปี ส่งผลให้ บาร์เซโลน่า ยอดทีมจาก ลาลีกา สเปน ฉกฉวยโอกาสคว้าเพชรเม็ดงามเม็ดนี้ไปครอบครองได้สำเร็จ
ฟิโก้ กลายเป็นดาวเตะขวัญใจแฟนบอล “อาซูลกราน่า” ได้ทันที หลังจากย้ายมาร่วมทีมได้ไม่นาน และได้รับปลอกแขนกัปตันทีมในเวลาต่อมา
ภายใต้สีเสื้อ”เลือดหมูน้ำเงิน” 4 ปี เขาพาบาร์ซ่า คว้าแชมป์ ลา ลีก้า ได้ 2 สมัย, แชมป์ โคปา เดล เรย์ 2 สมัย และแชมป์ ซูเปอร์โคปา , แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ คัพ รวมถึง แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อย่างละ 1 สมัย เขาลงเล่นไปทั้งสิ้น 249 นัด ยิงได้ 45 ประตู
แต่ในปี 2000 เกิดเรื่องช็อควงการลูกหนังโลกขึ้น เมื่อ หลุยส์ ฟิโก้ ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ทีมคู่ปรับตลอดกาลของบาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 62 ล้านยูโร ถือเป็นค่าตัวสถิติโลกซึ่งในเวลานั้นด้วย
นอกจากนั้นยังส่งผลให้เกิดความเกลียดชังอย่างบ้าคลั่งจากแฟนบอลบาร์ซ่า จากนักเตะขวัญใจอันดับหนึ่งกลับกลายเป็นคนที่แฟนบอลเกลียดมากที่สุดและถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและเห็นแก่เงิน
แม้ว่าการย้ายมาสวมยูนิฟอร์มชุดขาวของเขาจะถูกมองในแง่ลบเช่นไร? เขากลับไม่เคยสนใจต่อคำวิจารณ์ถากถาง แต่เขาเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลต่อไปพร้อมกับทำผลงานให้ออกมายอดเยี่ยมดังเช่นเดิม
เขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับราชันชุดขาว โดยเฉพาะถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เขานำทีมเป็นแชมป์ได้สำเร็จในปี 2002 ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลที่เขารอคอยมานาน พ่วงด้วยแชมป์ ลา ลีก้า และซูเปอร์โคปา อีก 2 สมัย
นอกจากนี้ ฟิโก้ ยังคว้ารางวัลส่วนตัวในฐานะนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า มาครองได้ในปี 2000 และ 2001 ตามลำดับ
ฟิโก้ รับใช้ “โลส บลังโกส” จนถึงปี 2005 ก่อนที่จะตัดสินใจโยกไปเล่นในลีกอิตาลีกับอินเตอร์ มิลาน ทำสถิติลงสนามให้ เรอัล มาดริด ไปทั้งสิ้น 239 นัด ยิงได้ 57 ประตู
การย้ายมาอินเตอร์ฯ ในช่วงบั่นปลายอาชีพค้าแข้งของเขา แม้อาจจะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่สุดยอดเหมือนเคย แต่เขายังคงใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาช่วยให้ “งูใหญ่” คว้าแชมป์ สคูเต็ตโต้ ได้ 3 สมัยติด ก่อนตัวเขาจะประกาศแขวนสตั๊ด ในวันที่ 16 พฤษภาคม ปี 2009
ส่วนในทีมชาติโปรตุเกส ฟิโก้ ถูกเรียกติดทีมครั้งแรกด้วยวัยเพียง 19 ปี ก่อนจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของทัพฝอยทองตลอดมา โดยนำทีมลงเล่นในทัวร์นาเมนต์สำคัญทั้งฟุตบอลโลกปี 2002, 2006 รวมถึงฟุตบอลยูโรปี 96, ปี 2000 และปี 2004
ซึ่งโปรตุเกส รับบทเป็นเจ้าภาพและได้เข้าชิงก่อนไปพลิกล็อกแพ้ให้กับกรีซ ด้วยสกอร์ 0-1 ถือเป็นการเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์เมเจอร์ในระดับชาติของฟิโก้ มากที่สุด
สำหรับสถิติกับทีมชาติ เขารับใช้ชาติไปทั้งหมด 127 นัด ยิงได้ 32 ประตู นับเป็นนักเตะที่ติดทีมชาติโปรตุเกสมากที่สุดตลอดกาลเป็นอับดับ 2 รองจาก คริสเตียโน โรนัลโด้ ยอดดาวยิงรุ่นน้อง ที่ปัจจุบันรับใช้ทัพฝอยทองไปแล้ว 154 นัด
หลุยส์ ฟิโก้ คือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลกเคยมีมา เขาสามารถเลี้ยงบอลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ มีความเร็วในการเคลื่อนที่ ทำประตูสวยๆได้อยู่เสมอและจ่ายหรือเปิดป้อนบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อย่างมากมาย
ทั้งหมดทั้งมวลนี่คือ ตำนานปีกจอมเทคนิคทีมชาติโปรตุเกส ผู้ที่เคยลงเล่นให้กับทั้งบาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด สองคู่อริแห่งวงการฟุตบอลสเปน ผู้ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาแต่ฝีเท้าของเขายังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลยุค90 ถึง 2000 ไปตลอดกาล….
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น