หากเปรียบเส้นทางชิงชัยโทรฟี่พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังวิ่งอยู่บนทางด่วนด้วยความเร็วเบาๆ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากช่วงก่อนหน้านี้ไปเสียเวลารถติดอยู่ข้างล่างมาพักใหญ่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มักถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งแชมป์พรีเมียร์ลีกตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นฤดูกาล เหตุผลสำคัญก็คือ สภาพทีมที่เพรียบพร้อมกว่าชาวบ้าน ทั้งของเดิมที่มีอยู่แล้ว และที่เสริมทัพเข้ามาใหม่ทุกๆ ช่วงตลาดซื้อขาย และซีซั่นนี้ก็เช่นกัน แม้ ลิเวอร์พูล มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เก่าก็ตาม
แต่การออกสตาร์ตฤดูกาลที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ 8 เกมแรก ชนะแค่ 3 เกม เสมอ 3 เกม และแพ้ไปแล้วถึง 2 เกม (คาบ้านต่อ เลสเตอร์ 2-5, บุกแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 0-2)
นั่นทำให้อันดับของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หล่นไปอยู่ถึงที่ 13 หลังจบเกมที่ 8 ของฤดูกาล (เตะน้อยกว่าทีมอื่น 1 เกม) ที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม
ผู้คนกำลังพูดถึงความร้อนแรงของ เอฟเวอร์ตัน กับ เลสเตอร์ ที่สลับกันเป็นผู้นำของตารางในช่วงเริ่มต้น ต่อด้วย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เข้ามารับช่วงต่อ ก่อนจะตกถึงมือแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล และกลายเป็นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา
และด้วยความที่เป็นการขับเคี่ยวกันของสองทีมคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ทำให้ใครๆ ต่างลืมชื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเลย โดยเฉพาะหลังจบเกมที่เปิดบ้านเสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ทำให้ทีมของ เป๊ป อยู่แค่อันดับ 9 แม้แข่งน้อยกว่าทีมอื่นอยู่ก็ตาม
แต่หลังจากนั้น ซิตี้ กวาดชัยชนะ 7 เกมรวด เป็น 21 คะแนนเต็ม แม้มีเกมเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นหนึ่งในนั้น แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ส่วนที่เหลืออีก 6 เกม ล้วนเป็นงานเบาทั้งหมด
ประกอบกับ ลิเวอร์พูล สะดุดต่อเนื่องตั้งแต่โปรแกรมบ็อกซิ่งเดย์เป็นต้นมา ผ่านไปแล้ว 5 เกม เพิ่งบวกแต้มเพิ่มได้เพียง 3 คะแนนเท่านั้น แถมยังยิงได้เพียงประตูเดียว และปืนฝืดมา 4 เกมติดต่อกัน สปอร์ตพูล
บวกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ดันมาสะดุดหัวทิ่มเอง ในเกมล่าสุดที่แพ้คาบ้านต่อ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมบ๊วย 1-2 (ไม่ขอลงรายละเอียด) หยุดผลงานไม่แพ้เกมลีกเอาไว้ที่ 13 เกม หรือนับตั้งแต่การแพ้คาบ้านต่อ อาร์เซน่อล 0-1 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา
นั่นทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผงาดขึ้นจ่าฝูงแบบเต็มตัว แถมยังมีเกมตกค้างเหลืออยู่ในมือหนึ่งเกมด้วย หมายความว่า เรือใบสีฟ้า อาจฉีกหนีเป็น 4 คะแนนได้เลย หากคว้าชัยชนะในเกมตกค้าง ซึ่งเป็นเกมที่ กูดิสัน พาร์ค
เป๊ป นำพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับสู่เส้นทางลุ้นแชมป์ที่คุ้นเคยอีกครั้ง เพราะไม่เพียงแค่การนำจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกแบบเนียนๆ แล้ว ซิตี้ ยังรอเล่นรอบชิงชนะเลิศ คาราบาวคัพ เจอกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เข้าสู่รอบ 5 เอฟเอคัพ เยือน สวอนซี และรอเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เจอกับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
พูดได้เต็มปากอีกฤดูกาลว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีลุ้น 4 แชมป์ แม้ซีซั่นนี้เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรครอบด้าน ทั้งอาการบาดเจ็บของตัวหลัก และที่สำคัญมีนักเตะผลัดกันเจอผลบวก โควิด-19 กันหลายต่อหลายราย
ถึงตอนนี้ ชื่อของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมาน่าเกรงขามสุดๆ อีกครั้ง และจะถูกลืมชื่อเหมือนตอนเดือนพฤศจิกายนไม่ได้อีกแล้ว จากผลงานชนะรวด 11 เกมรวมทุกรายการ และอาจยืดตัวเลขเพิ่มออกไปอีกเรื่อยๆ
-แมนคูเนี่ยน-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น