เจาะ 5 ข้อ ผีแดงเขี่ยลิเวอร์พูล ตกรอบเอฟเอ คัพ


ลิเวอร์พูล ยังสะกดคำว่า ชนะ ไม่เจอต่อไป มานับตั้งแต่คริสต์มาส มาจนกระทั่งปลายเดือนมกราคม ล่าสุดออกไปโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขี่ยตกรอบ 4 ศึกเอฟเอ คัพ ด้วยสกอร์ 2-3 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา



1) หงส์แดงยิงประตูได้แล้


ลิเวอร์พูลต้องเจอกับสถานการณ์ที่สุดแสนยากลำบากในการยิงประตูเมื่อโดนแผนการเล่นของคู่แข่งที่เน้นเกมรับในช่วงหลายๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ในแมตช์ “แดงเดือด” ฉบับเอฟเอ คัพ เมื่อคืนที่ผ่านมา หงส์แดงสามารถปลดล็อคยิงประตูได้เสียที


การยิง 2 ประตูหลงจากที่ไม่สามารถยิงประตูได้เลย 4 เกมลีกติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งในเรื่องความเฉียบคม และความมั่นใจในแดนหน้าของ “หงส์แดง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการอย่างมาก


อย่างน้อยๆ ประตูที่ทำได้ในการสู้กับทีมที่มีเกมรับเหนียวแน่นอย่าง แมนฯ ยูฯ แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังไม่ลืมฟอร์มที่สุดยอดก่อนหน้านี้ และน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีในแมตช์ปะทะกับ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์



2) จุดบอดในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กของ ลิเวอร์พูล



จากสถานการณ์ล่าสุด คล็อปป์ คงจะต้องรีบหาทางแก้ไขเป็นการด่วน เพราะการที่พวกเขาไม่มีทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ แถม โฌแอล มาติป ก็เป็นประเภทสามวันดีสี่วันเดี้ยง ทำให้ไม่มีกองหลังอาชีพที่มีประสบการณ์ใช้งานแล้ว


คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง รีส วิลเลี่ยมส์ วัย 19 ปีลงเล่นในเกมที่ค่อนข้างกดดันมากๆ และเขาไม่สามารถรับมือกับเทคนิคและความว่องไวของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในสถานการณ์ที่ต้องดวลกันแบบตัวต่อตัวได้เลย และยังมีส่วนต่อการเสียประตู 2-1 ด้วย แถมยังมีอีกหลายจังหวะที่ “เจ้าหนูรีส” ไม่สามารถรับมือเกมรับของ “ปีศาจแดง”


แม้อาจจะอ้างได้ว่านักเตะยังไร้ประสบการณ์ และอาจจะผิดพลาดได้ แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ คล็อปป์ ต้องรีบแก้ไข หากขืนยังใช้งานดาวรุ่งต่อไป อาจจะส่งผลเสียทั้งเรื่องความเชื่อมั่นของนักเตะ และโอกาสในการป้องกันแชมป์ลีก ด้วย



3) แรชฟอร์ด โชว์ฟอร์มโหด


แรชฟอร์ด มีส่วนกับสองประตูแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเป็นคนที่แอสซิสต์ให้ กรีนวู้ด กดประตูตีเสมอ และจากนั้นเจ้าตัวก็โชว์ลีลาความรวดเร็วในการลากเดี่ยวเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับ อลีสซง เบ็คเกอร์ ก่อนจะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย


ต้องยอมรับว่าเทคนิคและความเร็วของ แรชฟอร์ด ปั่นป่วนเกมรับของทีมเยือนมากๆ โดยเฉพาะในการดวลกับ วิลเลี่ยมส์ ที่ไร้ทั้งประสบการณ์และความเร็ว ยิ่งทำให้เขาเล่นได้ง่ายเหลือเกิน แต่ทั้งหมดก็ต้องยกเครดิตให้ความทักษะของเขาที่สามารถงัดออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ในแมตช์สำคัญแบบนี้


ที่สำคัญ แรชฟอร์ด คงจะเป็นหัวหอกที่สามารถหลอนทัพ “หงส์แดง” ไปอีกนาน เพราะตอนนี้เขาซัดไปแล้ว 4 ประตูจาก 5 แมตช์ที่ทำศึก “แดงเดือด” ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด



4) เกมโต้เป็นทีเด็ดของ โซลชา


เกมนี้แม้รูปเกมจะยังคงเป็น ลิเวอร์พูล ที่เป็นฝ่ายต่อบอลครองบอลบุกเข้าใส่ได้มากกว่าตามสไตล์ แต่แน่นอน แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนี้พวกเขาก็มีทีเด็ดที่ใช้ในการต่อกรกับทีมใหญ่มานักต่อนัก นั่นคือการการเล่นเกมสวนกลับโดยอาศัยความเร็วของผู้เล่นตัวริมเส้นฉีกแนวหลังคู่แข่งนั่นเอง  


จังหวะที่ได้ประตูตีเสมอ 1-1 เป็นจังหวะการสวนกลับเร็ว โดย แรชฟอร์ด มองเห็นพื้นที่ว่างระหว่าง กรีนวู้ด กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เช่นเดียวกับจังหวะที่ได้ประตูนำ 2-1 กรีนวู้ด ใช้พื้นที่ว่างระหว่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ รีส วิลเลี่ยมส์ ให้เกิดประตู กอปรกับ “เจ้าหนูรีส” พลาดด้วย ทำให้ทีมเยือนต้องเสียประตู ข่าวแมนยู


ซึ่งเกมนี้พวกเขาก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าหากเปิดพื้นที่หลังแนวรับเมื่อไหร่ ปีศาจแดง ก็พร้อมจะอาศัยช่องว่างตรงนั้นเปลี่ยนให้เป็นประตูได้เสมอ



5) บรูโน่ ฮีโร่ซุปเปอร์ซับ


แม้ว่าเกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะยิงได้ 2 ประตูก็ตาม แต่สถานการณ์เกมรุกก็ไม่ได้มีจังหวะโดดเด่นอะไรมากนัก นอกจากการเล่นแบบสวนกลับเร็ว ซึ่งเป็นแผนที่ถนัดของเจ้าบ้านอยู่แล้ว แต่พอ บรูโน่ ลงสนามในช่วงปลายครึ่งหลัง ฟอร์มของ “ผีแดง” ก็ยกระดับขึ้นมาทันที


ทันทีที่เขาลงสนามเกมบุกของ แมนฯ ยูฯ ก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะการเล่นลูกฟรีคิกยิ่งน่ากลัวเป็นสองเท่า


ลูกยิงปลิดวิญญาณบริเวณกรอบเขตโทษของ บรูโน่ น่าจะเป็นการปิดปากบรรดานักวิจารณ์ที่มักจะมองว่าเขาไม่ใช่นักเตะที่ทำผลงานได้โดดเด่นในเกมใหญ่โดยเฉพาะการดวลกับพวกท็อปซิกซ์ แต่กระนั้นบทสรุปสุดท้ายก็คือการคว้าแชมป์ ถ้าหากทำไม่ได้ เจ้าตัวก็คงยังโดนวิจารณ์อยู่ดี







เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน






































ความคิดเห็น