เปลี่ยนตัว 5 คน ทีมเล็กได้รับผลกระทบฝั่งเดียวจริงหรือ?


พรีเมียร์ลีกยังคงเป็นลีกเดียวใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปที่มีมติอนุญาตให้เปลี่ยนตัวผู้เล่นระหว่างเกมได้เพียง 3 คนเท่านั้น หลังจากการประชุมรอบที่ 3 ไปแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา


ผลโหวตครั้งล่าสุดถือว่าออกมาดีขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ นะครับ เพราะในรอบนี้ผลโหวตที่อยากให้มีการเปลี่ยนตัวได้ 5 คน ออกมาเป็น 10 ต่อ 10 เท่ากัน แต่มันยังไม่เพียงพอ เพราะตามกฏนั้นต้องมีคะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 ถึงจะเปลี่ยนกฏดังกล่าวได้


เรื่องนี้มีการถกมาตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลแล้ว แต่ผลโหวตของสมาชิก โดยเฉพาะทีมเล็กๆ นั้นยังคงกังวลในเรื่องของความได้เปรียบจากทีมใหญ่ๆ ที่มีขุมกำลังเชิงลึกดีกว่า


จนอาจทำให้พวกเขาเสียเปรียบในระยะยาว แต่ทีมเล็กๆ เหล่านั้นก็ลืมหรือไปว่าทีมใหญ่ๆ ที่ว่ามาล้วนมีจำนวนนัดที่ต้องลงแข่งมากกว่า แถมเตะถี่กว่าด้วยซ้ำ เมื่อมองไปที่ตารางแข่งขันฤดูกาลนี้ซึ่งถูกถอยร่นลงมาเนื่องจากภาวะโควิด-19 ในช่วงกลางฤดูกาลที่แล้ว


มองแบบเป็นกลาง ทีมอย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เบิร์นลี่ย์ หรือ เวสต์บรอมฯ พวกนี้ย่อมไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะการเปลี่ยนตัวได้ 5 คน พวกเขามองว่ามีโอกาสที่ทีมหัวตารางทั้งหลายสามารถแก้เกมได้มากกว่าจากขุมกำลังที่มีในมือ ทั้งเรื่องของคุณภาพนักเตะที่ดีกว่า หรือจำนวนนักเตะที่พร้อมใช้งาน ซึ่งยิ่งเปลี่ยนตัวได้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ย่อมมีความเหลื่อมล้ำตรงจุดนี้มากขึ้นไปด้วย

 
ประเด็นต่อมาคือเรื่องของอาการบาดเจ็บ มีรายงานจากสื่ิออังกฤษระบุว่า พรีเมียร์​ลีกฤดูกาลนี้มีนักเตะบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซนต์สูงถึง 47% เลยทีเดียว อันเนื่องมาจากโปรแกรมเตะที่ถี่กว่าปกติ ซึ่งผลกระทบตรงนี้ไม่ได้เกิดแค่กับทีมใหญ่เท่านั้น แต่กับทีมเล็กๆ ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยไปกว่ากันเลย


จ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล คือทีมที่ได้รับผลกระทบตรงเรื่องนี้มากที่สุด นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาลเป็นต้นมานักเตะในทีมประสบปัญหาอาการ​บาดเจ็บไปเกือบครบทุกคนแล้ว โดยเฉพาะแนวรับ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเสียศูนย์มากนัก เพราะทีมของ คล็อปป์ ถูกสร้างด้วยรากฐานที่มาจากระบบมากกว่าตัวบุคคลอยู่แล้ว


คล็อปป์ กับ เป๊ป คือ 2 โต้โผใหญ่ที่พยายามผลักดันเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะทั้งคู่มองว่ายิ่งเปลี่ยนตัวได้น้อยกว่าลีกอื่น ยิ่งมีผลต่อสภาพร่างกายนักเตะในทีมและยังอาจส่งผลไปถึงทีมชาติในอนาคตอีกด้วย


 เป๊ป หล่นความเห็นหลังเกมที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล เอาไว้ว่า “เราได้มีการพูดคุยเรื่องการเปลี่ยนตัวสำรอง 5 คนไปแล้ว แต่ทางพรีเมียร์ลีกไม่เห็นด้วย และยืนยันให้เปลี่ยนได้แค่ 3 คน “


แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือสิงห์บลูส์ก็พูดถึงประเด็นนี้ไว้น่าสนใจมากเช่นกัน “พวกเราไม่ได้ต้องการความได้เปรียบอะไรเลย แต่นี่พวกเราต้องเตะเกมลีก 38 นัดโดยที่มีฤดูกาลซึ่งสั้นกว่าปกติถึง 1 เดือน มันเห็นชัดเจนแล้วว่ามีผลกระทบรออยู่ “


มันไม่ใช่เรื่องของใครได้เปรียบใคร แต่มันคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักเตะเองโดยตรง และอาจกระทบไปถึงทีมชาติอังกฤษเองอีกด้วย โลกฟุตบอลตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วจากสถานการณ์นี้ และมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ เลย ทำไมเราถึงไม่ปรับตัวเหมือนที่อื่น “

 
ที่อื่นที่แลมพาร์ดว่าก็คือลีกใหญ่อย่าง กัลโช่, ลา ลีกา, ลีก เอิง และบุนเดสลีกา นั่นแหละ ยกตัวอย่างที่อิตาลีให้เห็นภาพมากที่สุดแล้วกัน ทางผู้จัดอนุญาตให้เปลี่ยนตัว 5 คน ซึ่งปรากฏว่าที่กัลโช่นั้น ทีมต่างๆ ประสบกับเรื่องอาการบาดเจ็บน้อยกว่าพรีเมียร์ลีกค่อนข้างเยอะ มันส่งผลไปถึงความสดตอนที่พวกเขาเล่นฟุตบอลยุโรปและทีมชาติอย่างชัดเจน


จากจุดที่ทีมเล็กมองว่าไม่อยากให้ทีมใหญ่ได้เปรียบเรื่องโควต้าเปลี่ยนตัว แต่หากเรามองอีกมุม ทีมเล็กๆ เหล่านี้ก็สามารถฉกฉวยประโยชน์จากจุดนี้ได้เหมือนกันนะครับ เพราะในเกมที่พวกเขาต้องการแต้มจากทีมใหญ่ พวกเขาก็สามารถเลือกที่จะใช้แท็คติคเปลี่ยนตัวเพื่อถ่วงเวลาในช่วงท้ายเกมได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน


เหรียญมีสองด้าน ทุกวิกฤติมีโอกาสซ่อนอยู่…





ทีนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแหละว่าจะมองวิกฤตินั้นในมุมลบ หรือมองให้เป็นมุมบวกเท่านั้นเอง











-แมนคูเนี่ยน-
























ความคิดเห็น