หลุยส์ ซัวเรซ กล่าวขอบคุณและยืนยันว่าจะไม่มีความลืมเลือนช่วงเวลา 6 ปีที่ค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า หลังถูกสโมสรปล่อยไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด ก่อนเซ็นสัญญา 2 ปีกับทีมตราหมี
หลุยส์ ซัวเรซ หัวหอกทีมชาติอุรุกวัยกลายเป็นผู้เล่นประสบการณ์รายล่าสุดที่เก็บเสื้อผ้าย้ายจาก ‘คัมป์ นู’ ในช่วงซัมเมอร์นี้ต่อจาก อีวาน ราคิติช, อาร์ตูโร่ วีดาล กับ เนลซอน เซเมโด้
นั่นคือการถ่ายเลือดเก่าของทีมอาซูลกราน่ายุค โรนัลด์ คูมัน ที่สโมสรดึงเข้ามารับตำแหน่งต่อจาก เอ็นรีเก้ เซเตียน ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังเกมอัปยศที่ปราชัยต่อ บาเยิร์น มิวนิค 2-8 บนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 8 ทีมซีซั่นที่ผ่านมา
หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าวัย 33 ปีค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า มานานถึง 6 ฤดูกาล นับตั้งแต่ย้ายมาจาก ลิเวอร์พูล ในช่วงซัมเมอร์ปี 2014 ก่อนสร้างชื่อเสียงเป็นหนึ่งในกองหน้าดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
หัวหอกทีมชาติอุรุกวัยกระทุ้งรวมกัน 198 ประตูจากการลงเล่นทุกรายการ 283 เกม ซึ่งเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 ของสโมสรต่อจาก ลิโอเนล เมสซี่ (634 ประตู) และ เซซ่าร์ โรดรีเกซ (232 ประตู) เขาคว้าแชมป์ 13 รายการ โดยเฉพาะ ลา ลีกา 4 สมัย, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 1 ครั้ง และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อีกหนึ่งสมัย
ทว่า บาร์เซโลน่า ตัดสินใจโละทิ้ง หลุยส์ ซัวเรซ ให้ แอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัวเพียง 6 ล้านยูโร ส่วนเพราะต้องการเซฟเงินค่าจ้างปีละ 23.4 ล้านยูโร หรือราวสัปดาห์ละ 450,000 ยูโร
หลุยส์ ซัวเรซ เคยแสดงเจตนารมณ์ว่าต้องการค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า ต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาในช่วงซัมเมอร์ปีหน้าเป็นอย่างน้อย แต่มีรายงานข่าวอ้างว่า โรนัลด์ คูมัน โทรศัพท์แข้งนักเตะให้หาสังกัดใหม่โดยใช้เวลาบอกกล่าวไม่ถึงนาทีจนเทรนเนอร์ชาวดัตช์ถูกวิจารณ์ว่าปฏิบัติแบบไม่ให้เกียรตินักเตะที่สร้างคุณงามความดีกับสโมสรมานาน 6 ปี
ซัวเรส ไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงค้าแข้งในลา ลีกา ต่อไป เพียงแต่ย้ายสีเลือดหมู ไปสู่สีแดง-ขาว แอต.มาดริด คู่แข่งในลีกนี่เองโดยสลับฟากกับ อัลบาโร่ โมราต้า ที่ย้ายกลับคำรบสองไปยูเวนตุสอีกครั้ง
หลุยส์ ซัวเรส จะเข้ามาเป็นศูนย์หน้าเบอร์ 9 ของตราหมี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสกอร์ของทีมให้มากขึ้น แม้จะมี ดีเอโก้ คอสต้า อยู่แล้วก็ตาม แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ เมื่อดูผลงานของ ตราหมี เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โอเคทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 ของตารางตามหลัง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ซึ่งอาจพูดได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายขั้นต่ำที่วางไว้
แต่หากมองลึกลงไปในเรื่องรายละเอียดการเก็บแต้ม และการยิงประตูคู่แข่ง ใน ลา ลีกา แอตเลติโก เก็บชัยชนะได้แค่ 18 เกมจาก 38 นัด สถิติต่ำกว่า 50% ซึ่งเมื่อเทียบกับ 2 ทีมบนหัวตาราง ช่างแตกต่างกันสุดขั้ว
เกมรุกของพวกเขาทำได้ 51 ประตู น้อยกว่า เรอัล มาดริด ที่ 70 ประตู, น้อยกว่า บาร์เซโลน่า ที่ยิง 86 ประตู, น้อยกว่าอันดับ 4 เซบีย่าที่ยิง 54 ประตู,น้อยกว่าอันดับ 5 บียาร์เรอัล ที่ยิง 63 ประตู,น้อยกว่าอันดับ 6 เรอัล โซเซียดาด ที่ยิง 56 ประตู เป็นไปได้อย่างไรทีมอย่างแอต.มาดริด จะมีเกมรุกที่ด้อยแบบนี้ ?
นี่คือจุดสำคัญอีกจุดที่ทำให้ทีมของ “โชโล่” ยังไปไม่ถึงแชมป์ หรือ ไม่ได้คั่วแชมป์อย่างที่ควรจะเป็น ก็เพราะว่าเกมรุกยังไม่ดีพอ สปอร์ตพูล
จำนวนประตูที่มากกว่า อาจเปลี่ยนเกมที่เสมอเป็นชัยชนะ เปลี่ยนจาก 1 แต้มเป็น 3 แต้ม หรือเปลี่ยนจากไม่มีแต้มเป็นมีแต้ม จุดนี้แหละที่ทำให้ โชโล่ มองหากองหน้าประเภทจอมถล่มประตูเข้ามาเสริม
กับ อัลบาโร่ โมราต้า แม้จะเล่นได้ดี มีส่วนร่วมต่อเกม เก็บบอลได้ พักบอลได้ แต่ยิ่งเล่น ก็ยิ่งเห็นว่าเขาไม่ตอบโจทย์ที่ตั้งไว้
ตลอดทั้งฤดูกาลที่ผ่านมาหัวหอกทีมชาติสเปนยิงได้ทั้งหมด 16 ประตู แบ่งเป็นยิงใน ลา ลีกา แค่ 12 ประตูจาก 34 เกมที่ลงสนาม เทียบกับ ซัวเรซ ฤดูกาลที่ผ่านมายังยิงได้มากถึง 21 ประตู เป็นรองแค่ประตูเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นฤดูกาลที่ ซัวเรซ ผ่าตัดหัวเข่าพักยาว 4 เดือนอีกด้วย
1 ฤดูกาลครึ่งของ โมราต้า ยิง 22 ประตู, 1 ฤดูกาลของ ซัวเรซ ซึ่งพักยาว 4 เดือน ยิง 21 ประตู เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน
แม้อายุอานามของ ซัวเรซ จะ 33 เข้าไปแล้ว แต่ก็เห็นกันอยู่ว่าเขายังมีพิษสงมากมาย ทั้งสภาพร่างกายก็ยังดูดี แถมสไตล์การเล่นยังบู๊ดุดัน สู้ไม่ถอยอย่างที่ โชโล่ ต้องการอีกด้วย
หลุยส์ ซัวเรซ มีคิวลงเผชิญหน้ากับทีมเก่านัดแรกบนสังเวียน ‘ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่’ วันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ ก่อนกลับไปเยือน ‘คัมป์ นู’ ในวันที่ 5 พฤษภาคมศกหน้า
-แมนคูเนี่ยน-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น