“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้ดีเยี่ยมเมื่อเอาชนะ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 5-3 ที่สนามแอนฟิลด์ เกมลีก นัดรองสุดท้าย เมื่อคืนวันพุธที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการเฉลิมฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรก และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี
1) ฟีร์มีโน่ยิงระตูแรก
“บ็อบบี้” เป็นหนึ่งในสามประสานที่ช่วยกันรังสรรค์การยิงประตูให้กับ “เดอะ เร้ดส์” มาตลอด แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่สามารถยิงประตูให้กับต้นสังกัดในสนามเหย้า ซึ่งการลงเล่นเกมสุดท้ายในแอนฟิลด์ ซีซั่นนี้ พบ เชลซี เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้ใส่ชื่อตัวเองเสียที
ท้ายที่สุดแล้วหัวหอชาวบราซิล ก็ยิงประตูที่รอคอยได้สำเร็จ และเป็นประตูแรกของเขาจากการเล่นเกมลีก 20 แมตช์ในสนามเหย้าของต้นสังกัด โดยเป็นการจบช่วงเวลาที่แสนยาวนานที่ยิงประตูไม่ได้ในบ้านตัวเอง 1,591 นาที และความพยายามในการยิงประตู 56 ครั้งเสียที
2) เกอิต้า ฟอร์มเด่น
นาบี เกอิต้า ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมากๆ ในเกมนี้ โดยเขาช่วยสร้างความแตกต่างให้กับเกมในครึ่งแรกโดยแย่งบอลจากคู่แข่งได้ตลอด, วิ่งหาพื้นที่ว่าง และจัดการซัดประตูขึ้นนำ แน่นอนว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเลือกเขาลงเล่นตัวจริงในแมตช์นี้
ฟอร์มของ เกอิต้า ค่อยๆ เฉิดฉายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2018 และเจ้าตัวก็เริ่มแสดงผลงานที่สุดยอด และมีความคงเส้นคงวามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แฟนบอล “เดอะ ค็อป” คาดหวังว่าเขาจะรักษาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ต่อไป
สิ่งที่ เกอิต้า ต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจก็คือการรักษาคุณภาพชั้นยอดของเขา และพยายามที่จะไม่บาดเจ็บหนักเพราะสิ่งนี้อาจจะทำให้โอกาสพัฒนาฟอร์มการเล่นของเขาต้องย่ำแย่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
3) สองฟูลแบ็กหงส์แดงจอมแอสซิสต์
ตอนนี้ฟูลแบ็กซ้าย-ขวาของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เป็นสุดยอดกองหลังที่ยากจะหาผู้เล่นคนไหนมาทัดเทียมได้จริงๆ โดยเฉพาะในรายของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ตอนนี้น่าจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่เก่งที่สุดตลอดกาลของสโมสรไปแล้ว
ฟอร์มของ “เจ้าหนูเทรนต์” สุดยอดเกินคำบรรยายจริงๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเล่นเกมรุก เพราะเขาเพิ่งจะทำลายสถิติแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกของตัวเองเกมถล่ม เชลซี 5-3 โดยเจ้าตัวทำแอสซิสต์ไปแล้ว 13 ครั้งในฤดูกาลนี้ มากกว่าฤดูกาลที่แวที่ทำได้ 12 แอสซิสต์ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการยิงประตู และซัดฟรีคิกได้อีก
ขณะเดียวกันการประสานงานร่วมกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ช่วยทำให้ทีมยิงประตูได้มากมาย ทำให้ทั้งสองคนเป็น 2 กองหลังที่ทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก มากที่สุดแซงหน้า สติ๊ก อิงเก้ บียอร์นบี้ (25 ครั้ง)
4) แนวรับต้องปรับปรุง
ก่อนที่จะเกิดเหตุโควิด-19ระบาด “หงส์แดง” เป็นทีมที่มีเกมรับสุดแข็งแกร่งยากจะมีทีมไหนเจาะเข้าไปทำประตูได้ แต่หลังจากที่เกมลูกหนังกลับมาแข่งใหม่ พวกเขาโดนเจาะประตูง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะในเกมพบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่โดนถลุงไปถึง 4-0
หลังจากนั้นก็มาพลาดเสียท่าให้กับอาร์เซน่อลของอาร์เตต้าอีก และในเกมกับเชลซี เป็นอีกครั้งที่เกมรับของ “เดอะ เร้ดส์” เล่นได้ย่ำแย่ ทั้งๆ ที่แมตช์นี้พวกเขาดูเหมือนจะเก็บชัยชนะได้ไม่ยาก เมื่อนำไปก่อน 3-0 แต่ดันมาเสียสมาธิทำให้โดนยิงตีไข่ 3-1 ก่อนหมดครึ่งแรก จากนั้นก็ยิงหนีไปอีก 4-1 แต่ก็เหมือนเดิมเมื่อ โจ โกเมซ กับ ฟานไดค์ เล่นไม่แข็งแกร่งจนโดนยิงไล่ตามมา 4-3 เดชะบุญที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์ ซัดปิดกล่อง ช่วง 5 นาทีสุดท้าย จบเกมชนะไป 5-3
ตอนนี้คล็อปป์ คงมองเห็นความหละหลวมของเกมรับ และพยายามที่จะแก้ไขในจุดนี้ เพราะนี่ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องรีบปรับปรุงเป็นการด่วน ไม่อย่างนั้นอาจจะส่งผลต่อการป้องกันแชมป์ในฤดูกาลหน้าก็เป็นได้
5) แอนฟิลด์ไร้พ่ายมา 3 ฤดูกาลแล้ว
สนามแอนฟิลด์ เป็นเหมือนป้อมปราการ และยังเป็นสนามที่บรรดาคู่แข่งต้องหวาดหวั่นโดยพวกเขา รักษาสถิติสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในถิ่นตัวเอง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร
ตั้งแต่ฤดูกาล 2017/2018 ลิเวอร์พูล ชนะ 12 เสมอ 7 , ต่อด้วยซีซั่น 2018/2019 ชนะ 17 เสมอ 2 และในฤดูกาลปัจจุบัน ชนะ 18 เสมอ 1 จะเห็นได้ว่า คล็อปป์ พัฒนาฟอร์มการเล่นในบ้านของ “หงส์แดง” ดีขึ้นในทุกๆ ซีซั่น และนี่คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น