ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ประจำฤดูกาล 2019-20 หลังลงเล่นเกมสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยแข่งขันพร้อมกัน 9 คู่ 9 สนาม แม้ระหว่างทางต้องหยุดแข่งไปนาน 2 เดือนเศษหลังไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด
ผลกระทบจากโควิด
เยอรมัน เป็นอีกประเทศในยุโรปที่มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากเป็นอันดับต้นๆ แต่ว่าด้วยการรับมือและดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างสุดกำลังทำให้มียอดผู้เสียชีวิตไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนที่ติดเชื้อ
ในช่วงที่เริ่มการระบาด รัฐบาลเยอรมัน สั่งยกเลิกกิจกรรมที่มีการรวมตัวของผู้คนเกิน 1,000 คนในวันที่ 8 มีนาคม ทำให้เกมบุนเดสลีกาคู่ระหว่าง โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค และ โคโลญจน์ ในอีก 3 วันถัดมาต้องลงเล่นแบบปิดสนามและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาที่มีเพียงนักเตะ สตาฟฟ์โค้ช และผู้ที่เกี่ยวข้องในจำนวนจำกัดอยู่ในสนามเท่านั้น
หลังเกมสิงห์หนุ่มกับแพะบ้าจบลง บุนเดสลีกา วางแผนเตะนัดที่เหลือแบบปิดสนาม ทว่าก็ต้องยกเลิกทั้งหมดในวันที่ 13 มีนาคม ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และในวันเดียวกันนี้ ลูก้า คีเลียน กองหลัง พาเดอร์บอร์น ก็กลายเป็นนักเตะบุนเดสลีกาคนแรกที่ติดเชื้อโควิด-19
หลังจากประชุมกันหลายรอบร่วมกับตัวแทนของรัฐบาล ในที่สุดสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมันและบุนเดสลีกาก็สามารถล็อกวันกลับมาแข่งได้อีกครั้งในวันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม ภายใต้มาตรการต่างๆ มากมายที่กลายเป็น “New Normal” เพื่อให้การแข่งขันเดินหน้าไปได้
บทสรุปแชมป์อีกสมัยของ “เสือใต้”
บาเยิร์น มิวนิค ป้องกันแชมป์ด้วยการทำคะแนนทิ้งห่างคู่แข่ง 13 คะแนน แต่ย้อนไปก่อนรีสตาร์ทกลับมาแข่ง สถานการณ์ยังถือว่าสูสีใกล้เคียงและได้ลุ้นแชมป์อย่างน้อย 5 ทีม
บาเยิร์น มิวนิค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, แอร์เบ ไลป์ซิก, โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค และ เลเวอร์คูเซ่น คือ 5 ทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์เพราะห่างกันเพียง 8 คะแนน
ทว่า “เสือใต้” ของเทรนเนอร์ ฮันซี่ ฟลิค ยังคงรักษาฟอร์มอันร้อนแรงแบบไม่มีทีท่าสะดุดด้วยการเก็บชัยชนะต่อเนื่องจนกระทั่งคว้าแชมป์ในนัดที่ 32 ก่อนจบฤดูกาลด้วยการชนะ 19 จาก 20 นัดสุดท้าย หลุดเสมอเพียงนัดเดียวเท่านั้น และนี่คือแชมป์ลีกสมัยที่ 30 ของพวกเขา พร้อมเป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 8 ติดต่อกัน
คว้าตั๋วลุยฟุตบอลยุโรป
หลังจาก บาเยิร์น มิวนิค การันตีตำแหน่งแชมป์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ทุกสายตาหันมาจับจ้องสถานการณ์ที่การลุ้นไปเตะฟุตบอลยุโรปฤดูกาลหน้า หลังจากกำลังขับเคี่ยวกันสุดมันส์จนถึงเกมสุดท้าย
เริ่มกันที่การแย่งตั๋วลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ลุ้นขับเคี่ยวกันอยู่ 3 ทีมในการคว้าอันดับ 3-4 ทั้ง แอร์เบ ไลป์ซิก, กลัดบัค และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ปรากฏว่าเกมสุดท้ายทั้งสามทีมเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด ทำให้ 4 อันดับแรกเป็น บาเยิร์น มิวนิค (อันดับ 1), โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (อันดับ 2), แอร์เบ ไลป์ซิก (อันดับ 3), โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค (อันดับ 4)
ขณะที่โควต้าลุยยูโรปาลีกนั้นเป็นของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น (อันดับ 5), ฮอฟเฟ่นไฮม์ (อันดับ 6) ส่วน โวล์ฟสบวร์ก (อันดับ 7) ต้องไปลงเตะในรอบคัดเลือก
เบรเมนพลิกนรกหนีตาย
ในโซนท้ายตารางต้องลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้ายที่ “รองบ๊วย” แวร์เดอร์ เบรเมน ต้องลุ้นหนีตายแข่งกับอันดับ 16 ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ ที่มีคะแนนมากกว่า 2 คะแนน ขณะที่ พาเดอร์บอร์น จองตั๋วกลับลีกา สอง ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
สถานการณ์ก่อนแข่ง เบรเมน เสียเปรียบและลุ้นหลายสเต็ปพอสมควรเพราะต้องเอาชนะ โคโลญจน์ ให้ได้ และลุ้นให้ ดุสเซดอร์ฟ แพ้ในการไปเยือน ยูเนี่ยน เบอร์ลิน
หรือหาก ดุสเซลดอร์ฟ เสมอ ทาง เบรเมน ก็ต้องยิงชนะให้ได้อย่างน้อย 4 ประตูเพราะผลต่างประตูได้-เสีย เป็นรอง แต่หาก ดุสเซลดอร์ฟ ชนะก็รอดเลย และเป็น เบรเมน ที่ต้องตกชั้นไม่ว่าผลนัดสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
ปรากฎว่า “นกนางนวล” คืนฟอร์มเก่งได้ถูกที่ถูกเวลาเปิดบ้านถล่ม โคโลญจน์ 6-1 เก็บชัยชนะในบ้านนัดแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว โดย 15 นัดในบ้านกว่าจะได้ชัชนะสุดสำคัญนัดนี้ เบรเมน แพ้ไปถึง 12 นัดและเสมอ 3 นัด ยิงรวมกันได้เพียง 5 ประตู น้อยกว่านัดสุดท้ายนัดเดียวด้วยซ้ำ
ขณะที่ ดุสเซลดอร์ฟ กลับพลาดท่าในเกมสำคัญเมื่อออกไปโดน ยูเนี่ยน เบอร์ลิน น้องใหม่ที่รอดตกชั้นไปแล้วถล่ม 3-0 พวกเขาจึงหล่นไปจบในตำแหน่งรองบ๊วยแทน เบรเมน และตกชั้นในที่สุดหลังขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกาได้เพียง 2 ฤดูกาล ราคาบอลไหล
แวร์เดอร์ เบรเมน จึงได้ลุ้นหนีตายอีกยกไปรอเพลย์ออฟกับทีมอันดับ 3 จากลีกา สอง ซึ่งอาจจะเป็น ไฮเดนไฮม์ (อันดับ 3 – 55 คะแนน) หรือ ฮัมบูร์ก (อันดับ 4 – 54 คะแนน) ทีมใดทีมนึงที่กำลังลงเล่นนัดสุดท้ายในวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายนนี้
เครื่องจักรสังหาร เลวานดี้
สำหรับดาวซัลโวประจำฤดูกาลนี้คือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ หัวหอก บาเยิร์น มิวนิค ที่กระหน่ำไป 34 ประตู และเป็นตัวเลขการยิงประตูสูงสุดที่เขาเคยทำได้ในการลงเล่นในลีกอาชีพอีกด้วย
นอกจากนี้นับเป็นสมัยที่ 5 แล้วที่ดาวยิงชาวโปแลนด์คว้าตำแหน่งนี้ไปครอง ต่อจากฤดูกาล 2013/14, 2015/16, 2017/18 และ 2018/19 ส่วนรองดาวซัลโวนั้นตกเป็นของ ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ที่กดไป 28 ประตู
ขณะที่เจ้าพ่อแอสซิสต์ในฤดูกาลนี้ตกเป็นของ โธมัส มุลเลอร์ กองหน้าจาก “เสือใต้” ทำได้ 21 ครั้ง
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น