อีกหนึ่งตำนานนักเตะที่ประกาศแขวนสต๊ดในปีนี้ ตำนานกองกลางของ บาเยิร์น มิวนิค และทีมชาติเยอรมนี ตัดสินใจยุติเส้นทางการค้าแข้งในฐานะนักฟุตบอลอาชีพในวัย 35 ปี กับ ชิคาโก้ ไฟร์ และเกมสุดท้ายคือเกมที่บุกชนะ ออร์ลันโด้ ซิตี้ 5-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม
บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ เกิดวันที่ 1 สิงหาคม 1984 ที่เมืองโคลเบอร์มูร์ เยอรมันตอนเหนือ เขาเริ่มเข้าวงการฟุตบอลกับสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน โดยเริ่มเล่นจากตำแหน่งปีกขวา ก่อนที่จะมาเป็นกองกลางเต็มตัวในระยะหลัง
เขาถือว่าเป็นนักเตะมีแววซูเปอร์สตาร์มาตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชนแล้ว ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปี เขาได้รับการผลักดันจาก อ๊อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ กุนซือของทีมเสือใต้ ให้ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ในฤดูกาล 2002/2003
โดยเกมเปิดตัวของเขาเป็นการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ล็องส์ จากฝรั่งเศส และเขาก็เริ่มต้นได้อย่างสวยงาม ด้วยการเปิดบอลให้ มาร์คุส ฟอยล์เนอร์ ทำประตูได้
ชไวน์สไตเกอร์ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพในเดือนต่อมาและลงสนามในศึกบุนเดสลีก้าไป 14 นัด ช่วยให้ “เสือใต้” คว้าแชมป์ลีกและบอลถ้วยได้ ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 เขาลงเล่นในบุนเดสลีก้า 26 นัด
และยิงประตูแรกให้กับต้นสังกัดในนัดที่พบกับ โวล์ฟบวร์ก ในเดือนกันยายน 2003 แต่หลังจากนั้น เขาก็ถูก เฟลิกซ์ มากัธ จับลงไปเล่นในทีมสำรองของ บาเยิร์น
ชไวน์สไตเกอร์ กลับมาเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวอีกครั้ง ในฤดูกาล 2005-06 โดยเขาลงเล่นให้กับ “เสือใต้” ไปทั้งหมด 42 นัด ทำได้ 3 ประตู รวมในทุกรายการ พาต้นสังกัดคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าและเดเอฟเบ โพคาลได้ เป็นดับเบิ้ลแชมป์ ครั้งที่ 3 ของเขา หลังจากที่เคยทำได้ในฤดูกาล 2002-03 และ 2004-05 มาแล้ว
หลังจากนั้น 3 ฤดูกาลจนกระทั่งถึงปี 2007-08 ชไวน์สไตเกอร์ ได้ลงเล่นให้กับ บาเยิร์น ถึง 135 เกมจากทุกรายการและทำไป 10 ประตู พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งแชมป์บุนเดสลีกา และเดเอฟเบ โพคาล
ส่วน ฤดูกาล 2008-09 เป็นฤดูกาลที่น่าผิดหวังสำหรับ ชไวน์สไตเกอร์ เพราะเขาลงสนามช่วยทีมไปถึง 44 นัด ในทุกรายการและยิงได้ 9 ประตู แต่ไม่สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์รายการใดๆ ได้เลย ต่อมา ในฤดูกาล 2009-10 เขาก็พาทีมมีลุ้นแชมป์ถึง 3 รายการ ทั้งบุนเดส ลีกา, เดเอฟเบ โพคาล และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
แต่ทำสำเร็จแค่ 2 รายการเท่านั้น คือ แชมป์บุนเดสลีกา และเดเอฟเบ โพคาล ส่วนในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศนั้น บาเยิร์น พ่ายแพ้แก่ อินเตอร์ มิลาน ไป 0-2 โดยเขาลงสนามช่วยทีมไปทั้งหมด 49 นัด ยิงได้ 3 ประตู รวมทุกรายการ
หลังจากการกวาดแชมป์ในประเทศมาอย่างท่วมท้น “ชไวนี่” มีโอกาสเข้าชิงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง กับ เชลซี ที่อลิอันซ์ อารี่น่า ในปี 2012 แต่ทว่าทุกอย่างไม่เป็นตามที่คาดไว้เมื่อ บาเยิร์น แพ้การดวลจุดโทษต่อ เชลซี ไป 3-4 หลังจากเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 พลาดการคว้าแชมป์ในรังตัวเองอย่างเจ็บปวดเหลือเกิน
ว่ากันว่าฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ! บาเยิร์น มิวนิค และ ชไวน์สไตเกอร์ กลับมาเข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้งในฤดูกาล 2012/13 และครั้งนี้คู่แข่งคือทีมร่วมลีกอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
โดย “เสือใต้” ไม่ปล่อยให้ถ้วยบิ๊กเอียร์ต้องหลุดมือด้วยการเอาชนะ “เสือเหลือง” ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1
ความสำเร็จยังคงเดินหน้าต่อหลังจากการคว้าดับเบิ้ล เเชมป์ กับ บาเยิร์น “ชไวนี่” ประกาศศักดาด้วยเกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศึกฟุตบอลโลก 2014 ด้วยการคว้าแชมป์ร่วมกับทีมชาติเยอรมัน
นับเป็น 17 ปีที่ยาวนานกับ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งในที่สุดเเล้ว ชไวน์สไตเกอร์ ก็ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในซัมเมอร์ของปี 2015
วันที่ 13 กรกฎาคม ปี 2015 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดการคว้าตัว บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์พร้อมเซ็นสัญญา 3 ปี ทีเด็ดบอลชุด
ทว่านับตั้งแต่มาอยู่ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด “บาสตี้” ก็มีอาการบาดเจ็บออดๆแอดๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งให้กับปีศาจแดงได้ แม้มีแชมป์เอฟเอคัพติดไม้ติดมือร่วมกับทีมในฤดูกาลแรกก็ตาม
แต่หลังจากนั้นเขาค่อยๆ กลายเป็นสำรองและสุดท้าย ก็ได้ย้ายไปเล่นใน เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐ กับสโมสร ชิคาโก้ ไฟร์ ก่อนที่ชื่อเสียงของ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ จะค่อยๆ ถูกลืมและหายไปในที่สุด
ในนามทีมชาติเยอรมนี ชไวน์สไตเกอร์ ลงเล่นให้กับทัพอินทรีเหล็ก 121 นัด ทำไป 24 ประตู นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในคีย์แมนคนสำคัญในทีมชุดแชมป์โลกปี 2014 รวมถึงอันดับ 3 ฟุตบอลโลกปี 2006, 2010
จนกระทั่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม ก็ได้เวลาแก่สมควรประกาศรีไทร์อย่างเป็นทางการ หลังรับใช้ชิคาโก ไฟร์ได้ราว 2 ปีครึ่ง
เขายืนยันว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้ว หลังจากโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรลูกหนังมาอย่างยาวนาน ประสบความสำเร็จน่าพอใจจนไม่รู้จะร้องขออะไรอีกแล้ว และชื่อของเขาถูกบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศของบาเยิร์น มิวนิค ร่วมกับตำนานยิ่งใหญ่อีกหลายคน
ชไวนี่ คือนักเตะแบบอย่างที่ดีแก่นักเตะรุ่นหลัง ทั้งการวางตัวดีทั้งในและนอกสนาม เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น สู้ไม่ถอยจนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย บทสุดท้ายบนฟลอร์หญ้าของเขา มีแต่เสียงชื่นชม ยินดีและคำขอบคุณ โชคดีนะ…บาสตี้
-แมนคูเนี่ยน-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น