ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นจิตวิญญาณของคำว่าไม่ยอมแพ้อีกแมตช์ หลังจากที่พวกเขาฮึดสู้ไล่ตีเสมอ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล 5-5 ก่อนจะดวลจุดโทษชนะ 5-4 ในเกมคาราบาว คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อวันพุธที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา
เกมนี้นี้ดูเหมือน “หงส์แดง” ต้องทำใจแล้วเพราะสกอร์ตามหลังทีมเยือน 4-5 ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะจบเกม แต่ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ยอมแพ้สามารถตีเสมอได้จากจังหวะการยิงสุดสวยของ ดิว็อค โอริกี้ ทำให้ทีมได้ลุ้นเข้ารอบด้วยการดวลจุดโทษ
การต้องดวลจุดโทษต้องอาศัยทั้งความนิ่ง, แม่นยำ และโชคด้วย แต่ที่น่าสนใจก็คือ ไรอัน บรูว์สเตอร์
และ เคอร์ติส โจนส์ สองดาวรุ่งที่แสดงให้เห็นถึงหัวจิตหัวใจที่สุดนิ่งในการขันอาสายิงประตูในช่วงเวลาบีบหัวใจแบบนี้ ฉะนั้นต้องยกเครดิตให้กับ คล็อปป์ ที่กระตุ้นแข้งวัยกระเต๊าะให้กล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดแบบนี้
1) เกมแห่งความมันส์ และความบันเทิง
แม้จากความเป็นจริงที่ว่าถ้วย คาราบาว คัพ เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ทั้ง ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล ต่างไม่ได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ จากการพิจาณาด้วยตัวผู้เล่นที่ทั้ง 2 ทีมส่งลงสนาม
แต่เมื่อทั้งสองทีมเจอกันไม่ว่าที่ไหน หรือรายการอะไรก็ตาม ที่แน่ๆ เราจะได้เห็นการยิงประตูเยอะแน่นอน และในแมตช์นี้ก็เป็นไปดั่งที่คาดหวังเมื่อสองสโมสรจอมบุกตะบันสกอร์รวมกันไปถึง 10 ประตูตลอด 90 นาที
เกมออกสตาร์ทด้วยประตูที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 8 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ ชโครดาน มุสตาฟี่ ก่อนที่จะจบครึ่งแรกด้วยการนำ 3-2 ของ เดอะกันเนอร์ส ทีมเยือนทิ้งห่างเป็น 4-2 เมื่อเริ่มต้นครึ่งหลังได้ไม่กี่อึดใจก่อนที่โมเมนตัมของเกมจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเจ้าถิ่นไล่ฮึดตีตื้นเป็น 4-4 ได้เพียงไม่นานหลังจากนั้น
โจ วิลล็อค เกือบจะได้เป็นฮีโร่เมื่อซัลโวประตูสุดสวยในนาทีที่ 70 ให้ลูกทีมของ เอเมรี ขึ้นนำอีกคำรบเป็น
5-4 แต่แล้วก็ถูก ดิว็อค โอริกี ขโมยซีนในช่วงทดเวลาบาดเจ็บวอลเลย์ประตูตีเสมอ 5-5 ก่อนที่พลพรรค เร้ดแมชีน จะพลิกกลับมาเอาชนะได้สำเร็จในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ (มีเพียง ดานี เซบาญอส คนเดียวที่พลาดการดวลลูกจุดโทษ)
2) การคัมแบ็กของ โอซิล
เมซุต โอซิล ลงเล่นให้กับ ปืนใหญ่ ล่าสุด ต้องย้อนกลับไปถึงเดือนกันยายนในเกม คาราบาว คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้ายที่ ไอ้ปืนใหญ่ ถล่มเอาชนะ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ 5-0 และเจ้าตัวไม่มีส่วนร่วมแม้กระทั่งการมีชื่อบนม้านั่งสำรองอีกเลยตลอด 6 เกมที่ผ่านมาทั้งในศึกพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปาลีก
แฟนบอล เดอะกันเนอร์ส ได้เห็น โอซิล ลงสนามให้กับทีมอีกครั้งสมใจหลังจากการเรียกร้องอย่างหนักในช่วงหลังมานี้ และเจ้าตัวก็ยังสามารถรักษาฟอร์มการเล่นของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย เพลย์เมกเกอร์ชาวเยอรมัน ประจำการหลัง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ในบทบาทแข้งหมายเลข 10 พร้อมกับคอยเคลื่อนที่โจมตียังพื้นที่อันตราย และมีส่วนสำคัญกับประตูที่เกิดขึ้น พร้อมกับมีอีก 1 แอสซิสต์เป็นของฝาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าโอซิลเล่นดีแบบนี้ จะมีโอกาสลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์นี้ไหมนะ เพราะอย่างที่เห็นแข้งวัย 30 ปี ยังแสดงให้เห็นถึงคลาสของตัวเอง การจ่ายบอล การเคลื่อนที่ โอซิลยังเป็นความหวังให้กับทีมได้
3) ดาวรุ่งมาร์ติเนลลี่ ฟอร์มเด่น
กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ถือเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองอย่างมากจากฟอร์มการเล่นที่แสดงให้เห็นในเกมคาราบาว คัพ โดยเฉพาะแมตช์ที่แอนฟิลด์ เพราะเขามีส่วนต่อการเล่นเกมบุกของ อาร์เซน่อล อย่างมาก และคาดว่าอีกไม่นาน อูไน เอเมรี่ คงจะให้โอกาสนักเตะรายนี้ลงเล่นมากขึ้นในเกมพรีเมียร์ลีก
ประตูตีเสมอ 1-1 หัวหอกเลือดแซมบ้าเป็นคนส่งบอลให้ บากาโย่ ซาก้า ซัดด้วยขวาไปติดเซฟ ควิวีน เคลเลเฮอร์ ก่อนจะมาเข้าทาง ลูกัส ตอร์เรร่า วิ่งไปซ้ำเข้าไป ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะความคล่องตัวของเขาช่วยยิง 2 ประตูให้ทีมหนีห่างไป 3-1
มาร์ติเนลลี่ เป็นเด็กที่มีแวว และพัฒนาได้อีกเยอะหากได้รับโอกาสให้ลงเล่นอยู่เรื่อยๆ และน่าจะมีอนาคตสดใสในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
4) แนวรับดาวรุ่งยังพึ่งพาไม่ได้
เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก จับคู่กับ โจ โกเมซ ทำหน้าที่เป็นเซนเตอร์แบ็ก ต้องบอกเลยว่าทั้งสองคนทำผลงานได้น่าผิดหวังจริงๆ โดยเฉพาะในรายของแข้งดัตช์ที่ดูเหมือนจะขาดทั้งความมั่นใจ และประสบการณ์ในการทำหน้าที่สำคัญนี้ ที่เด็ดบอล
ฟาน เดน เบิร์ก ค่อนข้างจะได้รับความไว้วางใจจาก คล็อปป์ พอสมควร แต่ดูเหมือนว่าในเกมนี้เขาเล่นได้น่าผิดหวังทั้งการผ่านบอล และการตัดสินใจในหลายๆ ครั้ง โดย 5 ประตูที่เสียไปแน่นอนว่ามีหลายลูกที่เจ้าตัวมีส่วนทำให้เกิดสกอร์แบบนี้
ขณะเดียวกันคู่หูชั่วคราวอย่าง โกเมซ ก็ทำผลงานไม่ได้ดีเช่นกัน โดยดูเหมือนว่าเขาจะขาดสมาธิในการคุมเกมรับ ไม่ได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำช่วยเจ้าหนูวัย 17 ปีรายนี้เท่าไหร่นักอีกเช่นกัน
5) ดีเอ็นเอคล็อปป์
จะเห็นได้ว่าลิเวอร์พูลยุค คล็อปป์ นั้นตายยากจริงๆ เขาได้ใส่ดีเอ็นเอความเป็นนักสู้ไม่ยอมแพ้ให้กับนักเตะลิเวอร์พูลทุกชุด เพราะมีหลายเกมที่พวกเขาต้องตกเป็นรอง แต่สุดท้ายสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาชนะหรือเสมอได้หลายต่อหลายเกม
อย่างเกมที่เจออาร์เซน่อลในคาราบาว คัพ โดนนำอยู่ 4-2 แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ แม้สกอร์จะตามหลังในช่วงนาทีสุดท้ายก็ตามแต่หากท่านเปายังไม่เป่าหมดเวลา ขุนพล “หงส์แดง” ยังคงเดินหน้าเพื่อเอาประตูให้ได้ และในที่สุดไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จ และดวลจุดโทษเอาชนะไปในที่สุด
เรื่อง/เรียบเรียง : แมนคูเนี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น