ในที่สุดพลพรรค เชลซี ก็สามารถคว้าชัยชนะเกมลีกอย่างเป็นทางการในบ้านได้สำเร็จ รวมถึงเก็บคลีนชีตได้ด้วย ในยุคของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
เปิดหัวด้วยการพ่ายยับต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, พ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษในเกมชิงถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, มีปัญหาจากการเล่นในบ้านที่ไม่ชนะสักที, ประเดิมเกมแรกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกแพ้คารังอีก และที่สำคัญก็คือการเสียประตูมาทุกเกม
ไม่เว้นแม้แต่เกมกับทีมรองบ่อนอย่าง กริมสบี้ ในคาราบาว คัพ ที่ทีมคว้าชัยชนะอย่างสวยงาม 7-1 ก็ยังไม่วายโดนเจาะตาข่าย
แต่ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดกับการคว้าชัยในบ้านเป็นเกมแรกในเกมลีกภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์
แลมพาร์ด ยังเป็นเกมแรกที่ทีมสามารถรักษาคลีนชีตไว้ได้อีกด้วย
ชัยชนะเหนือ ไบรท์ตัน 2-0 ในเกมเมื่อวันเสาร์ ไม่ได้มาแบบง่ายๆหรือโชคช่วย แต่เป็นการร่วมกันเล่นและจากการวางแผนของนายใหญ่
เพราะจากผลงานในครึ่งแรกต้องยอมรับว่า “สิงห์บลูส์” ไม่ได้เหนือกว่าผู้มาเยือนมากนัก แม้จะมีโอกาสพังประตูไม่น้อยแต่ไร้ซึ่งความเด็ดขาด
ทว่าการแก้เกมในครึ่งหลังนี่แหละที่ทำให้ทีมได้ประตูในที่สุด แน่นอนว่าต้องยกความดีความชอบให้กับการแก้เกมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด แต่ลองเจาะลึกไปลงไปว่ามีจุดไหนบ้าง
เกมครึ่งแรกทีมอาจจะมีโอกาสพังประตูมากมาย แต่ถ้ามองจากภาพรวมแล้วทีมไม่ได้ครองเกมอย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้การบุกไม่ได้ต่อเนื่องเท่าที่ควรนัก อาจจะมีเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นั่นยังไม่เพียงพอสำหรับการเจาะตาข่ายผู้มาเยือน แม้จะมีจังหวะโหม่งของ แทมมี่ อบราฮัม ที่ชนเสา, ลูกยิงของ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ติดเซฟ
แต่การที่เกมสามารถยืดหยุ่นได้โดยเฉพาะในระบบการเล่น ซึ่งดูผิวเผินดูจะเล่นในระบบ 4-3-3 หรือปรับเป็น 4-2-3-1 แต่เห็นได้ชัดว่า จอร์จินโญ่ ยืนลึกลงไปหน้าแผงหลังมากกว่าปกติ ทำให้ทีมสามารถปรับอีกรูปแบบที่ 4-1-4-1
อีกอย่างคือการบีบเกมสูงจนนำมาซึ่งจุดโทษในช่วงต้นครึ่งแรกที่ อดัม เว็บสเตอร์ ไปช้า
โดน เมสัน เมาท์ ที่รออยู่แล้วโฉบเข้ามาจนสุดท้ายเสียจุดโทษก่อนที่ จอร์จินโญ่ จะสังหารเข้าไป
แม้จะได้ประตูขึ้นนำแต่ทีมก็ยังไม่ได้เหนือกว่ามากนัก นำมาซึ่งการเปลี่ยนตัวอย่าง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย
ที่ลงเล่นแทน เปโดร โรดริเกซ ที่ทำงานหนักวิ่งมาตลอด อีกคนก็คือ มาเตโอ โควาซิช แทน รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ดูล้าลงไป
การแก้เกมครั้งนี้ทำให้เกมของทีมดีขึ้นทันตาและกลับมาครองเกมอีกครั้ง และทีมก็ได้ประตูที่สองจากการทำเกมขึ้นมาของ ฮัดสัน-โอดอย ที่ไหลให้ วิลเลี่ยน ที่ยิงแฉลบ แดน เบิร์น เข้าไป
ตลอดทั้งเกม เชลซี หาโอกาสทำประตูได้ถึง 24 หน โดยมี 10 ครั้งที่เข้ากรอบ พร้อมกับสถิติครองบอล 52% อาจจะไม่มากนักเพราะทุกครั้งที่ได้บอลทีมจะลุยใส่ทันทีไม่มีการต่อบอลไปมาให้เสียอารมณ์
จอร์จินโญ่ ดูจะเล่นอย่างมีความสุขมากขึ้นหลังแฟนบอลเริ่มเอาใจช่วยหลังจากที่ถูกมองว่าเป็นลูกรักของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลีแสดงให้เห็นว่าการย้ายมาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เพราะจากฝีเท้า
การกำกับเกมของเขาช่วยให้ เมสัน เมาท์ และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ทะยานไปข้างหน้าได้อย่างไม่ต้องกังวล เพราะนอกจากจะคุมเกมดี การอ่อานเกมก็ยอดเยี่ยมพร้อมกับมีลูกบู๊แย่งบอลกลับมาให้เพื่อนได้อีกด้วย ทีเด็ด บอล
เชลซี เล่นแบบไม่มีผ่อน ทุกครั้งที่ได้บอลทีมจะพยายามหาโอกาสพังประตูอยู่เสมอ นั่นคือจุดแข็งที่บีบให้ผู้มาเยือนไม่กล้าเติมเกมสูง และเมื่อตัดเกมได้ก็มักจะเสียบอลกลับมาอยู่เสมอ
อีกจุดที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือเกมรับที่ในที่สุดก็รักษาคลีนชีตได้สักทีในฤดูกาลนี้
การขาด อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่เจ็บถือว่าสงผลอย่างชัดเจน ในขณะที่คนที่ลงเล่นแทนอย่าง คูร์ท ซูม่า ดูจะมีข้อผิดพลาดอยู่พอสมควร
ในที่สุด แลมพาร์ด ก็กล้าที่จะให้ ฟิคาโน่ โทโมรี่ ลงสนาม และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวังกลายเป็นคนสำคัญในแนวรับของทีมไปแล้วในตอนนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในหลายๆด้านของ เชลซี ทั้งเรื่องของผลงาน,
การแก้เกม, นักเตะที่เจ็บค่อยๆกลับมา และความมั่นใจจากชัยชนะในบ้านสองเกมติดต่อกัน
11 แต้มจาก 7 เกมอาจจะดูน้อยไปหน่อย แต่แนวโน้มของทีมดูจะดีขึ้นเรื่อยๆ กับปัจจุบันที่ขึ้นมารั้งอันดับ 6 ของตารางแล้ว
ต่อจากนี้ทีมมีเกมสำคัญสองนัดรออยู่ก่อนพักเบรกทีมชาติทั้งการเยือน ลีลล์ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกหลังเกมแรกพ่ายคารังให้กับ บาเลนเซีย และเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ในพรีเมียร์ลีก
ดูจากความมั่นใจของทีมที่มีมากขึ้น หลังได้รับชัยชนะติดต่อกัร สองเกมหน้านี้ย่อมมีโอกาสสูงที่ชนะเอาชนะได้ทั้งหมด ดูแล้วคงไม่น่าจะเกินความสามารถของแลมพาร์ดหรอกนะ
-แมนคูเนี่ยน-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น