ดาวยิงหน้าม้า! รุด ฟาน นิสเตลรอย


หากเอ่ยถึงสุดยอดกองหน้าแมนฯ ยูไนเต็ดแล้ว แน่นอนหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ รุด ฟาน นิสเตลรอย ดาวยิงทีมชาติฮฮลแลนด์ สุดยอดดาวถล่มประตูคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร และยังสามารถเรียกได้ว่า เป็นกองหน้าธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่พรีเมียร์ ลีก เคยมีมาอีกด้วย

รุด ฟาน นิสเตลรอย เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1976 ที่เมือง ออส ในช่วงภาคกลางตอนใต้ของ เนเธอร์แลนด์ โดยเขาเริ่มสนใจที่จะเล่นกีฬาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อยังเด็กเขาได้เล่นฟุตบอลในทีมของหมู่บ้าน โดยขณะนั้นเขาเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และได้เริ่มอาชีพในวงการฟุตบอลเมื่อปี 1993 หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับ เอฟซี เดน บอสช์ ทีมระดับดิวิชั่น 2 ของฮอลแลนด์ ที่นี่เขาได้พัฒนาทักษะการเล่นมากขึ้น

เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวต่ำ หลังจาก 4 ปีที่เขามีประสบการณ์กับที่นี่ รุด ก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ และมีโอกาสไปเล่นให้กับทีมในดิวิชั่น 1 ฮอลแลนด์ นั่นคือทีม ฮีเรนวีน ซึ่งเป็นที่ๆ เขาได้เล่นในตำแหน่ง ศูนย์หน้า อย่างจริงจัง เมื่อปี 1997 และซัดไป 13 ประตู จาก 31 นัด ในการลงเล่นให้ฮีเรวีนฤดูกาลเดียว

และในปี 1998 ในวันเกิดวัย 22 ปี รุด ฟาน นิสเตลรอย ก็ได้เซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทัพ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ด้วยค่าตัว 6.8 ล้านยูโร (ประมาณ 340 ล้านบาท) ถือเป็นสถิติสูงสุดของฮอลแลนด์ ในขณะนั้น


หัวหอกหน้าอาชา ตอบแทนความไว้วางใจด้วยการสังหารประตูไปถึง 31 ลูกจาก 34 เกมที่ลงสนามฤดูกาลแรกให้กับ พีเอสวี แถมยังได้รับเสียงโหวตจากเพื่อนร่วมอาชีพให้ครองรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกแดนกังหันลมอีกด้วย และในฤดูกาลที่ 2 ของเจ้าตัวก็ยังเพิ่มสถิติไปอีก 29 ประตู

รุดมีสถิติการทำประตูให้กับทีม พีเอสวี ได้มากทีเดียว โดยเขาทำได้ 60 ประตูในช่วง 2 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม และในฤดูกาล 1999-2000 เขาก็ทำแฮตทริกได้กับทีมถึง 2 ครั้งด้วยกัน จนไปเตะตาหลายสโมสรดังทั่วยุโรป ทั้ง เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน และ แมนฯ ยูไนเต็ด

รุด ฟาน นิสเตลรอย ตัดสินใจย้ายจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น สู่ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2001 ด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์ แต่อันที่จริงแล้ว ฟาน นิสเตลรอย เกือบจะได้เซ็นสัญญากับทีมปีศาจแดง ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 2000 แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย หลังจากนั้นไม่นานเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง ระหว่างการซ้อม ทำให้การย้ายทีมต้องเลื่อนออกไป


อย่างไรก็ตามปีถัดมา ฟาน นิสเตลรอย ก็ผ่านการตรวจร่างกาย และเซ็นสัญญาย้ายมาเป็นนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ในที่สุด พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ด้วยการยิง 23 ประตู จากการลงสนาม 32 นัด คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ของสมาคมนักเตะอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ในฤดูกาลแรก กับต้นสังกัดใหม่เท่านั้น แถมยังยิงประตูในบอลยุโรปได้ถึง 10 ลูก ให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ดด้วย

ฤดูกาลต่อมา ฟาน นิสเตลรอย ยังร้อนแรงไม่เลิก ซัด 25 ประตูใน 34 นัด รวมแฮตทริกที่เขาทำได้ 3 ครั้ง และปิดซีซั่นด้วยการยิง 8 นัดติดต่อกันได้อีกครั้ง ถัดมา
เริ่มฤดูกาล 2003-04 ด้วยการยิง 2 ประตูในเกมลีกสองนัดแรก ที่ทำให้เขาทำสถิติยิงได้ 10 เกมติดต่อกันในลีก ฟาน นิสเตลรอย ทำประตูที่ 100 ให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้ในนัดเอาชนะเอฟเวอร์ตันวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2004 เขาทำคนเดียวสองประตู (ลูกโทษ 1) ให้แมนฯ ยูไนเต็ดชนะมิลล์วอลล์ และได้แชมป์เอฟเอ คัพปี 2004 มาครอง


ฤดูกาล 2004-05 ฟาน นิสเตลรอย พลาดลงสนามเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการบาดเจ็บ แต่ก็ยังทำได้ 8 ประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งหนึ่งในนี้ คือ ประตูที่ 30 ในฟุตบอลถ้วยยุโรป ที่เขาเป็นคนยิงให้แมนฯ ยูไนเต็ด และเป็นประตูที่ทำให้เขาทำลายสถิติสโมสรที่เดนิส ลอว์ทำไว้ 28 ประตู

ฤดูกาล 2005-06 ฟาน นิสเตลรอย ทำประตูได้ใน 4 เกมแรกให้ยูไนเต็ด เขาจบซีซั่นด้วยการเป็นดาวยิงสูงสุดอันดับสอง ทำได้ 21 ประตูตามหลัง เธียร์รี่ อองรี ของอาร์เซนอล จบปีที่ห้ากับยูไนเต็ด ฟาน นิสเตลรอย ทำ 150 ประตูจากการลงตัวจริงไม่ถึง 200 นัด


ฟาน นิสเตลรอย ถูกจับนั่งเป็นตัวสำรองในเกมลีก คัพนัดชิงชนะเลิศกับวีแกน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือความขัดแย้งระหว่างเขากับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กระนั้นดาวยิงชาวดัตช์โดนจับนั่งสำรองในเกมลีก 6 นัดติด ฟาน นิสเตลรอย ตกเป็นข่าวลืออีกหลังจากที่โดนจับนั่งในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่น ที่แมนฯ ยูไนเต็ดชนะชาร์ลตัน เฟอร์กูสัน กล่าวว่าฟาน นิสเตลรอยไม่พอใจการตัดสินใจดังกล่าว และไปจากสนามก่อนแข่ง 3 ชั่วโมง

ซึ่งมีรายงานว่าฟาน นิสเตลรอย โดนตัดออกจากทีม เนื่องจากมีเรื่องทะเลาะกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ระหว่างการซ้อม ที่ต่อมาฟาน นิสเตลรอย ออกมาตำหนิว่าโรนัลโด้หวงบอล แทนที่จะผ่านให้เพื่อน เป็นเหตุให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน


ฟาน นิสเตลรอย เซ็นสัญญาย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์ ในปี 2006 ในสัญญา 3 ปี ซึ่งสองฤดูกาลแรก ที่อยู่กับทีมราชันชุดขาว ฟาน นิสเตลรอย โชว์ฟอร์มซัดไปถึง 41 ลูกจาก 61 นัด เป็นตัวกลจักรสำคัญ พาทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา ของสเปน หลังจบฤดูกาล พี่ม้าก็ได้ขยายสัญญาของตัวเองกับชุดขาว ยาวไปถึงปี 2010
แต่ในฤดูกาลที่ 2008-09 เขาประสบอาการบาดเจ็บหนักที่บริเวณเข่าขวา ไม่ได้ลงเล่นไปเกือบทั้งซีซั่น ได้ลงสนามทั้งหมด 12 นัด แต่ก็ยิงได้ถึง 10 ประตูเลยทีเดียว

ในฤดูกาล 2009/10 เรอัล มาดริด มีการถ่ายสายเลือดใหม่ในแนวรุก ตามนโยบายของประธานสโมสร ซึ่งใช้เงินกว้านซื้อดาวดังมาเพียบ จนมีผลทำให้ ฟาน นิสเตลรอย ได้แค่นั่งเป็นตัวสำรองไปโดยปริยาย จนภายหลังเจ้าตัวตัดสินใจย้ายทีมออกไปในที่สุด


พี่ม้าตัดสินใจเซ็นสัญญากับสโมสร “สิงห์เหนือ” ฮัมบูร์ก ในเยอรมัน โดยสุดท้ายเจ้าตัวก็ได้ลงเล่นไป 2 ซีซั่นเต็มๆ ลงสนาม 44 นัด และซัดช่วยสิงห์เหนือ ไปถึง 17 ประตู และตัดสินใจหาความท้าทายใหม่ กับความเก๋าในแนวรุกของตัวเขาเองอีกครั้ง

สุดท้าย ฟาน นิสเตลรอย ย้ายมาอยู่กับสโมสรเศรษฐีใหม่อย่าง มาลาก้า แบบไม่มีค่าตัว และเซ็นสัญญา 1 ปี หลังเซ็นสัญญาย้ายมาอยู่กับทีม ฟาน นิสเตลรอย เปิดตัวที่สนามลา โรซาเลด้า สเตเดี้ยม ที่มีแฟนบอลมาลาก้า 15,000 คนต้อนรับ เขาลงเล่นนัดแรกให้ทีมนัดเปิดซีซั่นที่มาลาก้าแพ้เซบีย่า 1-2

แต่ด้วยอายุที่เริ่มมากแล้ว อาการบาดเจ็บเรื้อรัง ทำให้เค้าไม่ค่อยได้เล่นเต็มที่นัก หลักๆจะหนักไปทางสำรองเสียส่วนใหญ่ โดยลงสนามให้ทีมไป 28 นัด ยิงประตูได้ 5 ลูกเท่านั้น และได้ตัดสินใจแขวนสตั๊ดทันที หลังจบฤดูกาล โปรแกรมฟุตบอล


14 พฤษภาคม 2012 “พี่ม้า” ประกาศแขวนสตั๊ดด้วยวัย 35 ปี เขากล่าวกับ Sport1 ว่าเขาเคยพูดเป็นนัยหลายครั้งช่วงปลายซีซั่นว่าจะเลิกเล่น เมื่อออกมายืนยันว่ามาลาก้าจะเป็นสโมสรสุดท้าย



“เพชรฆาตหน้าอาชา” รุด ฟาน นิสเตลรอย ลงสนามกับทุกสโมสร รวมทั้งสิ้น 589 นัด ยิงไป 347 ประตูด้วยกัน และในนามทีมชาติฮอลแลนด์ของเค้า ลงรับใช้ชาติทั้งสิ้น 70 เกม ทำประตูได้ 35 ประตู รวมทุกนัดที่ลงสนามจริง 659 เกม ยิงได้ 382 ประตู รวมเฉลี่ยการทำประตูเท่ากับ 0.58 เลยทีเดียว





-แมนคูเนี่ยน-








ความคิดเห็น