ค่ำคืนนี้แล้ว ศึกยูโรปา ลีก รอบชิงชนะเลิศ ที่บากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน จะเริ่มขึ้น ระหว่าง อาร์เซน่อล กับ เชลซี สองตัวแทนจากอังกฤษ ถือเป็นคู่ชิงที่สมน้ำสมเนื้อ และน่าดูสุดในรอบหลายปี
ชาติเดียวกันมาเจอันในวันตัดสินแชมป์ยุโรปก็น่าสนใจมากอยู่แล้ว อีกทั้ง 2 ทีมนี้ก็มาจากลอนดอนเหมือนกันอีก ความเข้มข้นยิ่งทวีคูณมากขึ้น นี่คือดาร์บี้แมตช์แห่งศักดิ์ศรี แถมมีเดิมพันตำแหน่งแชมป์
สองกุนซือทั้ง อูไน เอเมรี่ และ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ต่างโยกมาคุมทีมในพรีเมียร์ลีกพร้อมๆกัน การได้แชมป์ติดมือในฤดูกาลแรก ถือเป็นการเริ่มต้นที่ได้สวยทีเดียว
เชลซี ทำได้ตามเป้าหมายเบื้องต้นแล้ว คือพาทีมกลับไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า หลังจบอันดับ 3 ในลีก
ส่วนเอเมรี่ พลาดเป้าไม่ติดท็อปโฟร์ในลีก แต่ยังมีความหวังสุดท้ายในยูโรปา ลีก ซึ่งถ้าเป็นแชมป์จะได้ตั๋วทางลัดไปแชมเปี้ยนส์ลีก ทันที เหมือนที่แมนฯ ยูไนเต็ด ยุค มูรินโญ่ทำได้เมื่อปี 2017
ถ้าดูจากความจำเป็นและความสำคัญ แน่นอนว่า อาร์เซน่อล ต้องการเป็นแชมป์มากกว่าเชลซี สถานการณ์อาจทำให้ปืนใหญ่มีแรงกระตุ้นมากกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความกดดันที่พลาดไม่ได้เช่นกัน
ต้องไม่ลืมว่าอาร์เซน่อลไม่ได้เล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก มา 2 ปีแล้ว หากมันเพิ่มเป็นปีที่ 3 ย่อมส่งผลกระทบ ต่อทีมหลายอย่าง ทั้งงบประมาณในการเสริมทัพในฤดูกาลหน้าที่อาจถูกจำกัด แรงดึงดูดในการดึงนักเตะใหม่มาร่วมทีมน้อยลงโดยเฉพาะพวกดาวดังที่มีชื่อเสียง เป็นต้น การเงินในอนาคตจะมีปัญหา เพราะขายรายได้หลักในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก
ส่วนแชลซีอาจมีเรื่องห่วงน้อยกว่า แต่ถ้าซาร์รี่ไมได้แชมป์ ก็อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะตำแหน่งกุนซือ ที่ไม่เคยนิ่งสงบ และเขาตกเป็นข่าวเตรียมไปรับงานคุม ยูเวนตุส ในซีซั่นหน้าด้วย
เมื่อเทียบขุมกำลังของทั้งสองทีมต้องบอกว่าค่อนข้างสูสี มีจุดแข็ง-จุดอ่อน พอๆกัน และแถมมีผู้เล่นที่สำคัญ ดันมาบาดเจ็บไปด้วยสำหรับทั้งสองทีม ทำให้ดูสูสี ไม่ได้ออกมาเหลื่อมล้ำกันมากแล้ว
เส้นทางของทั้งสองทีมก่อนถึงรอบชิงฯ ที่บากู มีผลงานดีทั้งคู่ สูสีกันมาก ต่างกันแค่ แชลซียังไม่แพ้แม้แต่นัดเดียว
อาร์เซน่อล ชนะ 11 นัด เสมอ 1 นัด แพ้ 2 นัด ยิงได้ 31 เสีย 9, เชลซี ชนะ 11 นัด เสมอ 3 แพ้ 0 ยิงได้ 32 เสีย 9
ทีมของซาร์รี่กำลังลุ้นคว้าแชมป์แบบไร้พ่ายและยึดสถิติอันเหนียวแน่นเพิ่มเป็น 18 นัด (รวมอีก 3 นัดท้ายที่ไม่แพ้ในปี 2013 ที่ได้แชมป์)
ประสบการณ์งานโค้ชซาร์รี่อาจมีมากกว่า แต่ในเรื่องความสำเร็จแล้ว เอเมรี่มีผลงานจับต้องได้มากกว่า
เพราะเขาเคยคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก ร่วมกับเซบีย่าถึง 3 สมัยซ้อน
ต้องบอกว่าเอเมรี่มีความเชี่ยวชาญรายการนี้เป็นพิเศษ เป็นถ้วยที่ถูกโฉลกมากที่สุด
แต่กระนั้นก็ไม่มีอะไรการันตีว่าเขาจะนำอาร์เซน่อลโค่นเชลซีของซาร์รี่ได้แน่นอน
ทั้งคู่คุมทีมเจอกันในลีก 2 นัด ผลงานเท่ากน เพราะต่างชนะในบ้านทั้งคู่
จุดแข็งของปืนใหญ่คือ คู่กองหน้า และจะยิ่งอันตรายหาก เมซุต โอซิล ได้เล่นในสไตล์ที่ตัวเองถนัด ไอเดียในการสร้างสรรค์เกมของจอมทัพวัย 30 ปี ยังคงเป็นทีเด็ด เขามองเห็นช่องในการแทงบอลแบบที่คนอื่นมองไม่เห็น ซึ่งเชลซีต้องปิดตรุงจุดนี้ให้ดี
ส่วนตัวอันตรายสุดของสิงห์บลูส์ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เอแด็น อาซาร์ นัดนี้เต็มที่เกินร้อยแน่ เพื่อเป็นการสั่งลาแบบสวยงามกับเชลซี โปรแกรมฟุตบอล
ดูแล้วน่าหวาดเสียวแทนกองหลังอาร์เซน่อล ซึ่งปกติแล้วก็ไม่ได้เหียวแน่แนแข็งแกร่งอยู่แล้ว มีความผิดพลาดเกิดขึ้นให้เห็นอยู่เสมอ หากหยุดอาซาร์ไม่อย่ งานนี้ลำบากแน่
อีกโมเมนต์ที่น่าติดตามในเกมนี้คือ การเจอทีมเก่าทั้ง ปีเตอร์ เช็ก และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์
เช็ก จะลงเล่นเป็นนัดสุดท้ายก่อนแขวนถุงมือหลังจบซีซั่นนี้ มันเหมือนเขียนบทเอาไว้ล่วงหน้ากับการได้เจอทีมเก่าอย่าง เชลซี ทีมที่เขาลงเล่นมานาน 11 ปี และประสบความสำเร็จได้แชมป์มามากมาย
ส่วนชิรูด์ ก็มีความทรงจำมากมายตลอด 5 ปีครึ่งกับไอ้ปืนใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ต้องเต็มที่กับต้นสังกัดปัจจุบัน
ในยูโรปา ลีก ฤดูกาลนี้ ชิรูด์ทำผลงานได้อย่างเยี่ยมยอด วัดไปแล้ว 10 ประตู เป็นดาวซัลโวร่วมกับ ลูก้า โยวิช ของแฟร้งค์เฟิร์ต
ชิรูด์ ขออีกเม็ดเดียวหากยิงได้ในเกมนี้ ทำให้เขาคว้าตำแหน่งกาวซัลโวไปครองแบบเดี่ยวๆ เลย เว้นเสียแต่ว่า โอบาเมย็องที่กดไป 8 ลูก เกิดทำแฮตทริกปาดหน้าแซงไป ซึ่งเราเห็นกันมาบ่อยกับ กฎยิงประตูทีมเก่า
เช่นเดียวกับ ปีเตอร์ เช็ก ที่หากท็อปฟอร์มทิ้งทวน และขัดขวางทางแชมป์ของเชลซีไปในตัว
ถือเป็นนัดที่สำคัญสำหรับทั้งสองทีม อาร์เซน่อลจำเป็นต้องชนะเพื่อไปแชมปเปี้ยนส์ลีก ส่วนเชลซีก็ต้องการชนะเพื่อจะเป็นการทิ้งทวนแบบสวยๆของอาซาร์ อาจรวมถึงซาร์รี่ ฝั่งไหนจะได้สมหวังกัน ค่ำคืนนี้รู้แน่นอน
-แมนคูเนี่ยน-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น