แชมป์แรกของซาร์รี่


ในที่สุด เมาริซิโอ ซาร์รี่ พา เชลซี จบฤดูกาล 2018-19 ได้อย่างสวยงาม หลังพาทีมสิงห์บลูส์คว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเอาชนะ อาร์เซน่อล ของ อูไน เอเมรี่ ไปอย่างขาดลอย 4-1 ที่ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ก็ยังพา เชลซี จบอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งต่อให้ไม่ได้แชมป์ ยูโรป้า ลีก พวกเขาก็ได้สิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าได้อยู่แล้ว

แต่แน่นอน การจบฤดูกาลด้วยการได้ถ้วยใบเล็กยุโรป ย่อมดีกว่าไม่ได้อะไรติดมือ และก็ต้องยอมรับว่ากุนซือชาวอิตาเลียน มีฤดูกาลที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย

จากระบบ 3-4-3 กลายเป็น 4-3-3 ในสไตล์ที่ ซาร์รี่ ถนัด ช่วงแรกๆ ของฤดูกาล เชลซี เล่นได้สนุกสนาน ชนะคู่แข่งแบบมีสไตล์ และยังเคยขึ้นไปเกาะกลุ่มนำ ชนิดที่เรียกได้ว่ามีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกันเลยทีเดียว เริ่มต้นเหมือนดั่งฝัน 18 เกมแรกรวมทุกรายการ เชลซี ไม่แพ้ใคร
แถมยังชนะได้ถึง 14 นัด และยังมีเกมที่สร้างความประทับใจให้คนดูมากๆ อย่างในเกมที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล 1-1 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์


กระทั่งพุ่งชนกับความพ่ายแพ้ในเกมแรก โดยบุกไปแพ้ สเปอรืศ 3-1 จากนั้นเชลซี ก็เริ่มจะสะดุดเป็นระยะ มีเครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับวิธีการเล่นและแท็กติก ที่กุนซือิตาเลี่ยน ยึดติดกับระบบการเล่น 4-3-3 ทุกเกม ทุกนัดไม่ว่าจะคู่แข่งแบบไหน ไม่มีการเปลี่ยนเล่นแผนอื่นบ้าง กระทั่งการเปลี่ยนตัว ก็มักจะเปลี่ยนตามตำแหน่งต่อตำแหน่ง ไม่กล้าได้กล้าเสีย
อย่าง มาเตโอ โควาซิช และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ คือสองคู่หู ที่มักโดนสับเปลี่ยนตัวกันเป็นประจำ ถ้าใครได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงและต้องโดนเปลี่ยนออก คนที่ได้ลงเล่นแทนจะเป็นอีกคนอยู่เสมอ


หลังแพ้ สเปอร์ส 3-1 ทีมของ ซาร์รี่ ก็เริ่มมีเกมที่เล่นไม่ค่อยน่าประทับใจมากขึ้น แพ้แบบน่าเกลียด หรือเละเทะก็มี อย่างเกมบุกไปแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-1, แพ้คาบ้านต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1, เกมเยือนทีมท็อปซิกซ์ด้วยกัน สิงห์บลูส์ ไม่สามารถเอาชนะได้เลย ดีสุดแค่ยันเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเท่านั้น ยังมีเกมที่เข้าตากรรมการมากๆ อย่างการบุกไปโดย บอร์นมัธ อัดยับ 4-0, ต่อด้วยการโดน แมนฯ ซิตี้ ถล่มเละเทะ 6-0

แต่ถึงกระนั้น ซาร์รี่ ก็ยังยึดมั่นในแนวทางของตัวเองอย่างแน่วแน่ ไม่ได้สนใจเสียงวิจารณ์มากนัก ช่วงท้ายฤดูกาล ซาร์รี่ มาค้นพบว่า ดาวรุ่งในทีมอย่าง รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย สมควรได้อยู่ในทีมตัวจริง และทีมไม่ควรใช้ อาซาร์ เป็นหน้าเป้าถ้าไม่จำเป็น ทีมก็เริ่มกลับมามีผลงานที่ดีอย่างสม่ำเสมออีกครั้ง

แม้จะมีเกมที่บุกไปแพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-2 รวมถึงพ่าย ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ ด้วยสกอร์เดียวกัน แต่หลังจากนั้น เชลซี ก็ยังดีพอที่จะเร่งเครื่องก่อนจะเข้าป้ายเป็นอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก


จาก 38 เกม พาทีมชนะ 21 เสมอ 9 และแพ้ 8 เก็บได้ 72 แต้ม ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายอะไรมากนัก

และต้องไม่ลืมว่า ซาร์รี่ ยังพา เชลซี เข้าชิงฟุตบอลถ้วยได้อีก 2 รายการ นั่นก็คือ คาราบาว คัพ ที่แพ้ แมนฯ ซิตี้ ด้วยการดวลลูกจุดโทษ และอีกหนึ่งรายการก็คือ ยูโรป้า ลีก ที่จบลงด้วยการเป็นแชมเปี้ยน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายการหลัง ที่ เชลซี เล่นได้อย่างแข็งแกร่งมาโดยตลอด


ตลอดทั้ง 15 นัดในถ้วยยุโรปใบรอง เชลซี ไม่แพ้ใครเลยแม้แต่เกมเดียว แถมยังเป็นการชนะในเกม 90 นาทีได้ถึง 12 นัด ถล่มคู่แข่งไปถึง 43 ประตู สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นแชมป์ในบั้นปลาย ที่สำคัญ นี่เป็นแชมป์แรกอย่างเป็นทางการของ ซาร์รี่ นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาจับงานคุมทีม ตลอด 29 ปีที่ผ่านมา

เมื่อเรามองในภาพรวม ส่วนคิดว่า ซาร์รี่ สมควรได้รับโอกาสในการคุมทีม เชลซี ต่อไปในฤดูกาลหน้า

แม้มีข่าวลือว่า ยูเวนตุส ที่เพิ่งแยกทางกับ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี พร้อมจะรับช่วงดึง ซาร์รี่ ไปนั่งเก้าอี้นายใหญ่คนใหม่แทนในทันที



หลังพาทีมได้แชมป์ ซาร์รี่ เผยว่าเขายังไม่แน่ใจกับอนาคตของตัวเอง แม้ว่าจะยังต้องการคุมเชลซีต่อไป แต่กระนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารของทีมสิงโตน้ำเงินครามด้วย

การพูดคุยจะมีขึ้นในวันสองวันหลังจากนี้ อย่างไรก็ดี ไม่ว่า เชลซี จะตัดสินใจอย่างไร จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน โปรแกรมฟุตบอล

เพราะต้องไม่ลืมว่าซัมเมอร์นี้ เชลซี เริ่มต้นการโดนแบนจากทางฟีฟ่าแล้ว นั่นหมายความว่าจะซื้อนักเตะใหม่มาร่วมทีมไม่ได้เป็นเวลา 2 ตลาดติดต่อกัน หรือจนกว่าจะถึงซัมเมอร์ปีหน้า (ในกรณีที่พวกเขายอมรับคำตัดสินและไม่คิดจะอุทธรณ์อะไรแล้ว)


หากปลด ซาร์รี่ ไป ก็ต้องมั่นใจว่าจะได้กุนซือรายใหม่ที่ฝีมือไม่แพ้กันเข้ามาทำงานแทน และด้วยเงื่อนไขที่ว่ายังไม่สามารถซื้อใครเข้ามาเพิ่มได้ 1 ปี

เท่านั้นยังไม่พอ นักเตะที่เก่งที่สุดในทีมอย่าง เอแด็น อาซาร์ ก็จะไม่อยู่กับทีมแล้ว เมื่อเรามองดูจากคำให้สัมภาษณ์หลังจบเกมของเจ้าตัว แน่นอนว่าปลายทางคงเป็น เรอัล มาดริด และครั้งนี้ เชลซี ก็คงรั้งไม่อยู่แล้ว

ดังนั้น เชลซี ต้องคิดให้ดีๆ กับเรื่องการปลด ซาร์รี่ ซึ่งหากว่าทีมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโทษแบนได้จริง ผมคิดว่าการให้ ซาร์รี่ คุมต่อน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็รู้จักนักเตะชุดนี้มา 1 ปีแล้ว ย่อมรู้จุดอ่อน-จุดแข็งของทีมได้ ยังดีกว่าคนที่ต้องมานับหนึ่งใหม่อีก แถมเรื่องความสำเร็จก็ปลดล็อกแล้ว เมื่อพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ได้ ยิ่งไม่สามารถเสริมทัพได้ รวมถึง อาซาร์ ก็จะย้าย บางทีก็เลือกปลด ซาร์รี่ อาจจะเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป




ด้วยผลงานแบบนี้ ส่วนตัวคิดว่า ซาร์รี่ น่าจะได้รางวัลตอบแทนสมควรได้คุม เชลซี อย่างน้อยอีก 1 ฤดูกาลต่อไป





-แมนคูเนี่ยน-





ความคิดเห็น