ไอ้หน้าบาก ริเบรี่


สมญานาม “นิว ซีดาน” ที่สื่อและแฟนบอลมอบให้กับ ฟร้องค์ ริเบรี่ ก็คงจะพอบ่งบอกได้ถึงฝีเท้าอันโดดเด่นของเพลย์เมกเกอร์ชาวฝรั่งเศส  ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา และได้กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของบาเยิร์น มิวนิค ไปแล้ว หลังรับใช้ทีมมา 12 ปีเต็ม

ฟร้องค์ ริเบรี่ เกิดวันที่ 1 เมษายน 1983 ย่านคนจนที่เมือง Boulogne-sur-mer ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ชีวิตของเขาต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่สู้ดี เมื่อเด็กชายฟรองค์อายุได้ 2 ขวบ และพ่อแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง แต่พระเจ้าก็ยังอยู่ข้างเขา ริเบรี่รอดตายได้หวุดหวิด เหลือเพียงรอยบาดแผลบนใบหน้าที่ยังคงเป็นเครื่องเตือนความทรงจำความเลวร้ายในครั้งนั้น
    
ครอบครัวของริเบรี่มีฐานะยากจน มีเพียงฟุตบอลที่ช่วยให้ริเบรี่ลืมความทุกข์ในชีวิตไปได้บ้าง เพื่อนๆของริเบรี่บอกว่าริเบรี่ใฝ่ฝันจะเป็นเหมือนมาราโดน่า
    
เส้นทางลูกหนังของริเบรี่น่าสนใจไม่น้อย ตลอด 5 ปีแรก เขาย้ายสังกัดแล้วถึง 7 สโมสร ชีวิตค้าแข้งของริเบรี่เริ่มต้นอย่างไม่ราบเรียบนัก เขาเป็นผลผลิตจากโรงเรียนลูกหนังของสโมสร ลีลล์ แต่ก็ไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพ ริเบรี่จึงหวนกลับไปเล่นให้กับ บูโลญจน์ ทีมสมัครเล่นบ้านเกิดในปี 2001– 2002


จากนั้นในปี 2002-2003 ริเบรี่ก็ชีพจรลงเท้าย้ายไปเล่นกับ อแลส ในดิวิชั่น 3 ต่อด้วย แบรสต์ ฟอร์มของริเบรี่ เริ่มเตะตาแมวมองของ เม็ตซ์ จนต้องซื้อตัวเขาไปร่วมทีมในปี 2004 ที่ เม็ตซ์ นี่เองที่ฟอร์มของริเบรี่เริ่มเข้าฝัก ด้วยการปลุกปั้นของ ฌอง แฟร์น็องเดซ
   
ริเบรี่เล่นให้เม็ตซ์ได้ไม่ถึงฤดูกาล เขาก็ยุติการตระเวนค้าแข้งอยู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ด้วยการข้ามน้ำข้ามทะเลไปค้าแข้งกับสโมสรกาลาตาซาราย ริเบรี่ใช้ชีวิตนักเตะอยู่ในแดนไก่งวงช่วงสั้นๆ เพียง 6 เดือน 
แต่ก็สร้างความประทับใจให้กับกองเชียร์ในอาลี ซามิเยน ช่วยพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยในปี 2005 จนชาวเติร์กตั้งฉายาให้เขาว่า “แฟร์ร่า ริเบรี่” สมกับความเร็วของเขา

อย่างไรก็ตาม หลังจบฤดูกาล 2004/05 ดาวเตะเลือดน้ำหอม ก็สร้างความแค้นเคืองให้กับกองเชียร์กาลาตาซาราย เมื่อเขาตัดสินใจฉีกสัญญากับต้นสังกัด และย้ายไปร่วมทีมโอลิมปิก มาร์กเซย


หลังจากที่ย้ายมาเล่นให้กับ มาร์กเซย แล้ว ริเบรี่ ก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นกำลังสำคัญให้ทีมโอเอ็ม ได้เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และในฤดูกาล 2006-07 มาร์กเซย ก็จบด้วยการเป็นรองแชมป์ลีก เอิง โดย เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติฝรั่งเศส มีสถิติทำ 14 ประตู ในการลงสนาม 68 นัดรวมทุกถ้วย ตลอด 2 ฤดูกาลที่อยู่กับโอแอ็ม

แม้ว่าจะมีรูปร่างที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมอาชีพทั่วไป แต่ ริเบรี่ ก็ชดเชยด้วยความเร็ว
และเซนส์บอลอันยอดเยี่ยม รวมถึงการผ่านบอลอันเฉียบขาดหรือแม้แต่การทำประตูเองก็ทำได้ดีไม่แพ้กันความเร็ว พละกำลัง ทักษะ การจ่ายบอลสวยๆ ทำให้ ริเบรี่ กลายเป็นหนึ่งในสตาร์ที่เด่นที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมัน และสุดท้ายก็กลายเป็น “เสือใต้” ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ ที่ทุ่มเงินซื้อตัวเป็นสถิติสูงสุดของบุนเดสลีก้าเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2007 ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร (ประมาณ 1,250 ล้านบาท)


ริเบรี่ ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ซึ่งเคยเป็นของ เมห์เม็ต โชลล์ อดีตตำนานของบาเยิร์น ที่เพิ่งแขวนสตั๊ด โดยดาวเตะเลือดน้ำหอม ประเดิมสนามนัดแรกให้กับต้นสังกัดใหม่ในเเกมอุ่นเครื่องกับเอฟที เกิร์น

ซึ่ง “เสือใต้” ถล่มแหลก 18-0 และ ริเบรี่ ทำได้ 2 ประตู ส่วน เกมอย่างเป็นทางการนัดแรก เป็นการพบกับแวร์เดอร์ เบรเมน ในรอบแรกของเยอรมัน ลีก คัพ โดยเขาทำได้ 2 ประตูและช่วยให้ บาเยิร์น ชนะไป 4-1 
จากนั้น ก็ทำอีกประตูให้ทีม เอาชนะ สตุ๊ตการ์ท แชมป์บุนเดสลีก้า 2-0 ในรอบตัดเชือก แต่ในรอบชิงชนะเลิศ ริเบรี่ โชคร้ายมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่ได้ลงสนาม โปรแกรมฟุตบอล

ริเบรี่ อยู่กับทีมเสือใต้มา 12 ปีเต็ม สร้างผลงานนักเตะระดับเวิร์ดคลาสกับทีม โดยเฉพาะกับคู่หูของเขา 
อาร์เยน ร็อบเบน ที่เล่นได้อย่างเข้าขา รู้ใจ จนเป็นที่มาของ “ร็อบเบอรี่” เป็นส่วนสำคัญในการพา เสือใต้ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แชมป์ บุนเดสลีกา 9 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 6 สมัย, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย


ส่วนในนามทีมชาติฝรั่งเศส นั้น ริเบรี่ ติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2006 ในเกมที่ฝรั่งเศส ชนะ เม็กซิโก 1-0 หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน ดาวิด เทรเซเก้ต์ จนถึงปี 2013 จึงประกาศอำลาทีมชาติไป โดยสถิติในนามทีมชาตินั้นลงเล่นไป 81 นัด ซัดไป 16 ประตู

อย่างที่ทุกคนทราบกัน ริเบรี่ได้อำลาทีม บาเยิร์น มิวนิค ที่เขารับใช้มา 12 ปีเต็ม พร้อมกับ อาร์เยน ร็อบเบน และ ราฟินญ่า ในฤดูกาลสุดท้าย ก็ยังสามารถพาทีมคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ทั้ง บุนเดส ลีกา และเดเอฟเบ โพ คาล ได้สำเร็จ พร้อมจากลาด้วยความยิ่งใหญ่และสมเกียรติ





จากนี้บาเยิร์นจะเข้าสู่ยุคใหม่โดยที่ไม่มีริเบรี่โลดแล่นกับ “เสือใต้” อีกต่อไป แต่เขาได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานของบาเยิร์นไปแล้ว ไม่มีใครลืมผลงานริเบรี่ฝากเอาไว้แน่ และสักวันหนึ่งเขาอาจจะกลับมาที่บาเยิร์น ไม่ฐานะใดก็ฐานะหนึ่ง…





-แมนคูเนี่ยน-















ความคิดเห็น