ชัยชนะเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นความน่าชื่นชมของพลพรรคสิงห์บลูส์ต่อจากด้วยการเอาชนะ ไบรท์ตัน 2-1 เป็นชัยชนะในลีกสองเกมติดต่อกันหลังพ่ายแพ้ให้กับ วูล์ฟส์ แบบพลิกล็อก
ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ทำให้ทีมถึงขั้นว่ากลับมาลุ้นแชมป์ได้ แต่มันก็คือแต้มที่จะพาทีมบรรลุเป้าหมายในการกลับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ในซีซั่นหน้า
แถมยังได้รับคำขอบคุณจากฝั่ง ลิเวอร์พูล มาอีกด้วยที่ช่วยเบรกความแรงของ "แชมป์เก่า" ที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรหยุดได้เลย
ถึงกระนั้น เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็ยังถ่อมตัวว่าสิงโตแห่งกรุงลอนดอนยังไม่ดีถึงขั้นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นทีมเบียดลุ้นแชมป์ โดยเป้าหมายยังเหมือนเดิมเมื่อต้นฤดูกาลก็คือการติด "ท็อปโฟร์" ของตารางให้ได้
ในขณะเดียวกันในศึกยูโรปา ลีกทีมก็ทะลุเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายไปได้ชนิดที่ต้องบอกว่าไม่ได้หนักหนาอะไรเมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มก็สักยภาพต่ำกว่า ซึ่งของจริงจะมาหลังจากนี้ต่างหากที่แต่ละทีมที่เข้ารอบมาถือว่าไม่ธรรมดา รวมถึงพวกที่หล่นลงมาจากเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
เกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถือเป็นเกมที่ 3 ที่ทัพ "สิงห์บลูส์" ยึดผู้เล่นชุดเดียวเดิมในลีก
ต่อเนื่องจากเกมชนะ แมนฯ ซิตี้ และ ไบรท์ตัน และใช้อาซาร์ เป็นกองหน้าแบบ "ฟอลส์ไนน์"
น่าสนใจที่เกมนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีคู่เซนเตอร์ร่างใหญ่อย่าง เวส มอร์แกน และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กับการเจอกับสามแนวรุกสิงโตน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอนจะรับมือยังไง
จังหวะเปิดเกมจากแดนหลังที่ถือเป็นอีกหนึ่งในจุดแข็งของสิงห์บลูส์ชุดนี้ และเกือบทำงานเพียงแค่สองนาทีจังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ โดน เวส มอร์แกน เอาแขนฟาดเต็มหน้าลงไปกอง บอลอยู่ในการครอบครองของฝั่งเจ้าบ้านที่ดึงบอลไว้ยังไม่เตะทิ้งรอเพื่อนลุกขึ้นมา
และเมื่อกรรมการให้สัญญาณ ดาวิด ลุยซ์ อาศัยจังหวะนี้เปิดยาวมาหน้าประตู วิลเลี่ยน โฉบมาสะกิดเปลี่ยนทางแต่บอลหลุดกรอบออกไป
ทีละนิดทีละหน่อย เชลซี ค่อยดึงบอลมาอยู่ในการครอบครองได้แบบเบ็ดเสร็จ บีบให้ เลสเตอร์ ต้องลงไปเล่นเกมรับกันทั้ง 11 คน วิเคราะห์บอล
แต่ทว่าแผนการของฝั่ง "จิ้งจอกสยาม" ที่เตรียมมาดูเหมือนว่ายังทำได้ดีกับการบีบให้เกมของฝั่งเจ้าบ้านต้องเปิดเกมบุกทางริมเส้น ซึ่งการไม่มีกองหน้าตัวเป้าอย่าง อัลบาโร่ โมราต้า หรือ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ทำให้จังหวะสุดท้ายยังไม่มีอะไรน่าหวาดเสียว
เอแด็น อาซาร์ เองที่รับบทเป็น "ฟอลส์ ไนน์" ก็ฉีกออกมาริมเส้นบ่อยครั้ง และหลายที่ยามที่เกมรุกบุกขึ้นมาไม่รู้จะเปิดให้ใครเหมือนกัน กลายเป็นต้องมาต่อบอลกลับเข้ากลางซึ่งแน่นอยู่แล้ว
แต่เลสเตอร์ ก็เกือบพลาดเสียท่าหลังผ่านครึ่งชั่วโมงจากจังหวะที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ พยายามชิงจังหวะเล่นก่อน อาซาร์ แต่พลาดให้สตาร์เบลเยี่ยมเข้าไปซัดเต็มข้อในเขตโทษบอลพุ่งชนคานเต็มๆ
ฝั่งผู้มาเยือนเองก็มาได้เสียวจังหวะสับไกนอกกรอบของ วิลเฟร็ด เอ็นดีดี้ ที่บอลจะเสียบใต้คานอยู่แล้ว ทำให้เอา เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ต้องโชว์ฝีมือบินปัดออกหลัง
ครึ่งแรกสกอร์บอร์ดไม่ทำงาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกมรุกของ เชลซี มีปัญหากับการเข้าทำที่โดนบีบให้ออกด้านข้าง แม้จะมีการเปลี่ยนเป็นเปิดเรียด หรือหักเข้ากลางแต่จังหวะจบยังไม่คมพอ
ออกสตาร์ทครึ่งหลังเกมไม่ได้แตกต่างจากครึ่งแรก เชลซี เปิดเกมบุกเข้าใส่ แต่มันต่างตรงที่จังหวะบุกหนแรกของ เลสเตอร์ ซิตี้ เปลี่ยนเป็นประตูขึ้นนำก่อนหลังผ่าน 6 นาทีเท่านั้น จังหวะสวนขึ้นมา ริคาร์โด้ เปเรยร่า ตัดจากทางขวาเข้ากลางไหลให้ เจมส์ แม็ดดิสัน
ต่อมาให้ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ครึ่งแรกแทบไม่ได้บอลเลยกดตูมเดียวในเขตโทษบอลพุ่งเสียบตาข่ายชนิดที่
เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ไม่ได้ขยับตัวเลย
หนึ่งชั่วโมงของเกม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ขยับเปลี่ยนตัวสองคนรวดเอา รูเบน ลอฟตัส-ชีค กับ
โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นแทน มาเตโอ โควาซิช และ วิลเลี่ยน ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าเซอร์ไพรส์เท่าไร
ผ่านครึ่งทางของครึ่งหลังแทบจะต้องบอกว่าเกมของ เชลซี ไม่ได้เหนือกว่าแล้ว แถมยังมีจังหวะสวนของฝั่งทีมเยือนที่วูบวาบเหมือนกัน แต่ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นคือบรรดาผู้เล่นของทัพจิ้งจอกวิ่งและช่วยกันเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ
หลังจากที่ครองบอลบุกเข้าใส่อย่างหนัก แต่ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก เกมของ เชลซี ก็ดูจะตื้อไปเหมือนกันแถมยังเกือบสังเวยประตูที่สอง จากการยิงแถวสองของ มาร์ค อัลไบรท์ตัน และเป็นอีกครั้งที่ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ต้องพุ่งปัดช่วยทีมอีกครั้ง
โอกาสทองในช่วงทดเจ็บของ เชลซี จากการต่อบอลอันสวยงาม มาร์กอส อลอนโซ่ หลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนยิงผ่าน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ไปแล้สแต่บอลไปชนเสาผ่านหน้าประตูไปอีก
สุดท้ายลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ไป เป็นการแพ้เกมลีกในบ้านนัดแรกในซีซั่นนี้ด้วย
เกมนี้ "จิ้งจอกสยาม" แสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยในเกมรับที่แข็งขันกันอย่างยิ่ง ไม่ปล่อยโอกาสให้คู่แข่งมีพื้นที่ในจังหวะเข้าทำมากนัก โดยเฉพาะการบีบพื้นที่สุดท้ายให้ เชลซี ต้องออกไปเล่นด้านข้างต้องบอกว่าทำได้อย่างดีเยี่ยม
สามนักเตะสำรองที่ส่งลงมาไม่ได้ช่วยอะไรทีมเลย การขึ้นเกมรุกยังเป็น อาซาร์ ที่แบกภาระคนเดียวจนหมดพลัง การเปิดบอลด้านข้างโดยเฉพาะทางขวาของ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แทบไม่ผ่านบล็อคด้วยซ้ำ
เป็นวันที่ระบบ "ฟอลส์ ไนน์" ใช้ไม่ได้ผล และการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นที่ดูก็เหมือนเดิมจนเรียกได้ว่าคู่แข่งแทบจะจับทางได้อยู่แล้ว
นัดถัดไปกับการบุกไปเยือน วัตฟอร์ด ที่ชนะมาสองเกมติดในวัน "บ็อกซิ่ง เดย์" ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย
หลังจบจากเกมวันนี้ หากเชลซีไม่มีการเสริมแนวรุก โดยเฉพาะหน้าเป้าในเดือนมกราคม คงต้องบอกว่าแม้แต่พื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกก็มีโอกาสพลาดได้อีกหนึ่งฤดูกาลเช่นกัน
-แมนคูเนี่ยน-
เพิ่มเติม: ข่าวฟุตบอล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น